วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Merry Christmas in 2013

แหละแล้ววัน "คริสต์มาส" ก็วนเวียนมาบรรจบครบรอบอีกปีหนึ่ง (จนได้) ซึ่งวัีนคริสต์มาสนี้จะตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม ของทุก ๆ ปี

โดยจะเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของทางฝรั่งมังค่าเขา นั่นคือเป็น "วันปีใหม่" ของเขานั่นเอง

ถัดมาจากนั้นเพียงไม่กี่วันก็เป็นวันปีใหม่ีที่สากลโลกยึดถือกัน  ใช่แล้วแหละวันสำคัญ ๆ เยี่ยงนี้หลาย ๆ คนต่างก็รอคอยเพื่อที่จะเฉลิมฉลองต้อนรับวันสำคัญที่จะมาถึงเป็นแน่แท้ล่ะ

ถึงแม้ว่าในใจลึก ๆ จะทราบว่า ตัวเองก็อายุมากไปอีก 1 ปีแล้ว หรือเป็นอีกนัยหนึ่งคือ "แก่" ไปอีกปีแล้วนะ  

...แต่...จะไปทำอะไรได้ล่ะ  อยู่ให้อายุมัน "หยุด" ก็เป็นพอ เพราะถ้าอายุหยุดเมื่อไร คงหมายถึง "ตาย" หรือ "ไม่หายใจ" แล้วนั่นเอ

จะว่าไปแล้ว "วันคริสต์มาส" เป็นวันที่มีหลายประเทศได้จัดงานเพื่อเฉลิมฉลองและประดับประดาไปด้วยดวงไฟทำให้เกิดความสวยงาม

แสงสีเมื่อประกายออกมาตัดกับพื้นสีขาวแล้ว มันช่างงดงามเสียเป็นอย่างยิ่ง


เราอาจจะนึกถึงในประเทศแถบหนาวเป็นอันดับแรก  นึกถึงลานขาวที่มีแต่ "หิมะ" แล้วมีแสงไฟหลายหลายสีตัดกับพื้นสีขาว มันทำให้เกิดแสงที่สวยงามเป็นยิ่งนัก

มนุษย์เราเป็น "สัตว์สังคม" ต้องมีการพบปะสังสรรค์ ลองนึกแบบง่าย ๆ ถ้าต่างคนต่างอยู่แล้วไม่มีกิจกรรมอะไรเลยมันก็คงจะเงียบและเดียวดาย

ดังนั้น....มนุษย์จึงต้องคิดค้นกิจกรรมอะไรก็ได้เพื่อให้ชีวิตมีความตื่นเต้น และไม่เหงาจนเกินไปนัก  วันสำคัญเช่นนี้จึงเกิดได้ปีละ 1 ครั้ง

กลับมาที่เรื่อง "วันคริสต์มาส" ของเรากัน ในฤดูที่หนาว ๆ แบบนี้ในฝันของหลาย ๆ คนคงนึกถึงหิมะที่ตกปรอย ๆ จากท้องฟ้าลงสู่พื้นดิน  คล้าย ๆ "ปุยนุ่น" ที่ปลิวลงมาเรื่อย ๆ จากที่สูง

นึกถึงแล้วมันช่าง "ศิวิไลย์" ยิ่งนัก  ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราอาจจะเห็นได้จากภาพยนต์หลายต่อหลายเรื่อง 

สิ่งนี้เป็นจินตนาการของหลายๆคนที่อยากสัมผัสกับบรรยากาศที่น่ารื่นรมย์แบบนี้เป็นยิ่งนัก หรืออาจจะตั้งใจไว้ว่า "ซักครั้งหนึ่งในชีวิต" ขอให้ได้
เห็นซักครั้งเถอะ



กระผมเอง....ตั้งใจไว้เช่นกันว่า ต้องมีสักวันที่ได้เข้าไปสัมผัสกับบรรยากาศเช่นนี้ให้จงได้ มันเป็นจินตนาการของคนที่ยังไม่เคยได้สัมผัสกับหิมะน่ะ

ยิ่งภาพยนต์ของ "ประเทศเกาหลี" เข้ามาฉายให้เห็นบ่อยขึ้น "อยาก" ที่จะต้องไปสัมผัสบรรยากาศที่ละครเขาถ่ายให้ดูเสียเต็มประดา

แรงบันดาลใจของหลาย ๆ คน รวมทั้งกระผมเองจึงก่อตัวเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งที่ตั้งใจไว้ว่า "ต้องไปสัมผัส" ให้ได้

ส่วนจะเป็นเมื่อไร หรือเวลาใดนั้นต้องดูความเหมาะสมกันต่อไป เนื่องจากมีหลายปัจจัยเข้ามาเป็นสิ่งที่ต้องคิด

ครอบครัวของกระผมเองได้ตั้งใจไว้หลายปีแล้วที่อยากจะไปเดินสัมผัสตามจินตนาการในฝัน แม้มันจะผ่านไปหลายปีแล้วก็ยังตั้งใจไว้อยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ต้อง "สะสมเงินทอง" เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการท่องเที่ยว

หากสิ่งที่ "ฝัน" ไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย ครอบครัวเราเองคงไปหลายสถานที่แล้วแหละ ถ้าจะทำให้ได้ง่าย ๆ ก็ดูใน "google" นั่นเอง  การทำสิ่งนี้คงทำได้เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทาง และดูเส้นทางเมื่อต้องได้เดินทางไปจริง ๆ

(พักไว้อีกรอบครับ ท่านผู้ชม....จะมาต่อใน โอกาสว่าง ๆ นะจ๊ะ)

วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

น้อง "ญา" ผู้น่ารัก

ครั้งนี้เป็นการนำเสนอ "น้องญา" เพื่อเล่าสู่กันฟังละกัน  น้องญา...เป็นผู้แสนจะน่ารักของญาติ ๆ แทบทุกคน

ถ้าเล่าตั้งแต่อดีตนั้น ช่างเป็นอะไรที่น่าสนใจมากเป็นอย่างยิ่ง นับตั้งแต่เขาเกิดเลยก็ว่าได้  มัน "สำคัญ" และ "ยิ่งใหญ" เพียงใดสำหรับ "น้องญา" ของเรา

น้อง..ญา...เป็นลูกคนที่สองของ "อาติ๋ว กับ อาหยี"   ด้วยคิดว่า ถ้ามีลูกสาวเพียงคนเดียว กลัวลูกจะเหงา ไม่มีเพื่อนเล่น  

ฉะนั้น...จึงต้อง "เนรมิต" ลูกคนมาอีกคนหนึ่งเพื่อให้มาเป็นเพื่อนกัน  และแล้วความ "โกลาหล" ก็บังเกิดขึ้น 

เมื่อผู้เป็นน้องเติบโตขึ้นมาจนพูดได้รู้เรื่องแล้ว  ทั้งสอง "รบกันเอง" ๕๕๕ (เป็นอักษรไทยซะเลย) ...ไม่รู้จักน้องญาซะแล้ว


 ....ต้องติดตามครับ

วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2556

phubbing หรือ สังคมก้มหน้า

สังคมก้มหน้า  ลองทายสิ มันคืออะไร  ไม่ใช่การนั่งหลับ หรือ สัปหงก แต่อย่างใด

มันเกิดขึ้นมานานแล้วแหละ แต่ไม่ใช่วงกว้างมาก เนื่องจากว่า..ช่วงเวลาที่เริ่มเกิดเหตุนั้นมันต้ัองใช้อุปกรณ์ตัวใหญ่หน่อย

และจะมีได้กับคนที่มี "เงิน" หรือต้องใช้อุปกรณ์นั้นอาจจะใช้งานหรือมีไว้เพื่อแสดงตนว่า "ข้ามีตางค์" ก็เป็นได้

เรียกว่า มีคนส่วนนั้นที่เข้าถึง ฉะนั้น ภาพที่เห็นจึงถูกจำกัดในวงแคบ

เมื่อหลายปีก่อนจะมี "โน๊ตบุ๊ค" หรือ "แล็ปท๊อป" เป็นเครื่องมือสื่อสารแบบเคลื่อนที่ได้ จึงทำให้นำอุปกรณ์ชนิดนี้พกพาติดตัวได้ "แบตเตอร์รี่" หรือ "ถ่าน"
เพียงแต่จะถูกจำกัดด้วยเวลาของ

ขณะที่เข้าประชุมก็จะก้มหน้าก้มตาดูแต่ "ข้อมูลในโน๊ตบุ๊ค" ข้อมูลที่กล่าวถึงนี้จะเป็น "เมลย์" หรือ "จดหมายอิเล็คทรอนิกส์" 

อาการก็ "คล้าย ๆ" กันนี่แหละ ส่งข้อความไปแล้ว ก็ "รอ" เขาตอบมา แต่การใช้งานจะไม่ค่อยกระชับ ถูกจำกัดด้วยหลายอย่าง

"รอเข้ามาเสริมต่อภายหลัง  ครับ"

วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

แต่งกลอนแปด เพื่อเพิ่มทักษะ

โรงเรียนมัธยมตากสินระยอง คุณครูของน้องนิ้ง ห้อง 3/16 ให้นักเรียนแต่งกลอนแปดเพื่อเพิ่มทักษะ


น้องนิ้ง หรือ ด.ญ.พนิตสภา อยู่เย็น ในชั่วโมง "ภาษาไทย" คุณครูก็จะให้นักเรียนแต่ง "บทกลอน" ซึ่งกลอนที่แต่งขึ้นมาแล้วฟังแล้วจะรู้สึกว่า "ไพเราะ..เพราะพริ้ง" จะเป็น "กลอนแปด" ซะส่วนใหญ่


ทำไม...ถึงเป็นอย่างนั้น  ที่ได้ชื่อว่าเป็น..กลอนแปด  เนื่องจากว่า..แต่ละวรรค แต่ละตอนจะมีด้วยกัน 8 คำ  หากดูตามบรรทัดแล้วถ้าลงด้วยแปดคำ ประโยคจะสวยและคำจะไพเราะมาก
 

ในประโยคสามารถ "อรุ่ม อร่วย" ให้ลดลงจากแปดคำได้ เช่น อาจจะเป็น 7 คำ หรือ 6 คำ อย่างต่ำ ๆ สุดไม่ควรต่ำกว่า 6 คำในประโยคนั้น เนื่องจากว่า ....คำจะไม่ค่อย "เสนาะหู" ซะแล้ว อาจจะหมายถึง "สั้นไป" หรือ มันจบเร็วไปนั่นเอง  และจาก 8 คำสามารถยืดให้ได้ถึง 9 คำก็ได้เพื่อให้ประโยคลงตัว

แต่อย่างไรก็ยังเรียกเป็น ..กลอนแปด...อยู่นั่นแหละ  กลอน 8 เมื่อฟังแล้วจะไพเราะกว่ากลอนอื่น ๆ หรือกล่าวได้ว่า "นุ่มหู"  

พื้นฐานการแต่งกลอนแปดนั้นจะต้องมีคำที่ "คล้องจอง" หรือ "พ้องเสียง" กัน คำว่าคล้องจอง,พ้องเสียงหมายความถึงเสียงที่ "รับกัน" ซึ่งอาจจะผิดรูปก็ได้ 

เป็นดังนี้    ในวรรคแรกของคำที่ลงท้าย  จะต้องไปพ้องเสียงกับคำที่สามของประโยคถัดไปในแถวแรก  กระผมขอยกตัวอย่างเพลงซักเพลงละกัน



ซึ่งจะพบได้ง่ายกับ "เพลง" ไทยที่แต่งกันอย่างมากมาย จะพบได้มากกับ "เพลงลูกทุ่งไทย" นั่นเป็นกลอนแปดที่แต่งได้สมส่วนมาก  ดังเช่น เพลงมนรักลูกทุ่ง  มีเนื้อเพลงดังนี้

              หอมเอย..หอมดอกกระฐิน  รวยระรินเคล้ากลิ่นกองฟาง
     เห็ดตับเต่าขึ้นอยู่ริมเถาหญ้านาง    มองเห็นบัวสะร้างลอยกลิ่นริมบึง
          
           ได้คันเบ็ดสักคนพร้อมเหยื่อ    มีน้องนางแก้มเรื่อนั่งเคียงตกปลา
         ทุ่งรวงทองของเรานี้มีคุณค่า    มนต์รักลูกทุ่งบ้านนาหวานแว่วแผ่วดังกังวาล


(จะมาต่อ..อีกจ้า)

วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556

รถ "วีออส" เป็นของขวัญให้ "อ้อยใจ" ปี 2555

วันนี้เป็นวันสำคัญอีกครั้งหนึ่งในช่วงเวลาของชีวิต ซึ่ง "เหมาะสม" กับเหตุการณ์รอบด้าน

สิ่งที่จะได้พบนั้น "สำคัญ" กับเราเป็นอย่างมาก คนอื่น ๆ อาจจะบอกว่า "มันสำคัญตรงไหน" ก็ "งั้น ๆ" แหละ

แน่นอน....สำหรับคนธรรมด๊า ธรรมดาอย่างเรามัน "พิเศษ" ยิ่งนักถึงขั้นว่า "นอนไม่หลับ" กันเลยนะ


 มันเป็น "รถใหม่ป้ายแดง" ของครอบครัวเราไง จึง "ตื่นเต้น" กันทั้งครอบครัวโดยเฉพาะ "อ้อยใจ" นั้น....ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ทั้งวันเลยแหละท่านเอ๊ย 

อะไร ๆ ก่อนวันรับรถนั้นมันช่างโสภาไปหมดซะจริง ๆ อาการมันออกถึงกระทั่ง "ปู่" จับอาการได้เลยอ่ะ   ปู่...จึงได้แซวคุณอ้อยใจว่า "หลายมื้อนี้สาวอ้อยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่" ตลอดเลย นอนหลับบ่น้อยอ้อยน้อ....

สาวอ้อย...นั้นก็ "เขิน" เป็นธรรมดาครับ  คนจะได้ของใหม่และสด มันเป็น "รถป้ายแดง" เลยนะจ๊ะ ใคร ๆ ก็ต้องยิ้มเป็นเรื่องปกติแหละปู่ (อ้อยใจ..กล่าว)

...ก่อนวันที่จะไปรับรถจริงหนึ่งคืนก่อนวันจริงนั้น "น้องนิ้ง" คง "นอนไม่หลับ" จะเที่ยงคืนแล้ว แม้ว่าจะเที่ยงคืนแล้วก็ตาม

น้องนิ้ง...จะทำตัวอย่างไรดีน๊า....ในวันพรุ่งนี้  ว่าแล้วก็ "อมยิ้ม" อยู่ในใจ นี่เป็นความสุขที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเราอีกครั้งหนึ่ง

ถึงแม้จะเป็นความสุขที่นาน ๆ จะมีครั้งและก็เป็นความสุขมีเหมือนกันทั้งครอบครัวก็เป็นความสุขใจที่ "เต็มเปี่ยม" แหละ "เอมอิ่ม" ด้วยกัน

ส่วน "น้องนนท์" นั้นก็ไม่แพ้กัน ดึกดื่นเที่ยงคืนแล้วก็ยังไม่ยอมหลับยอมนอน คงจะตื่นเต้นกันทั้งครอบครัวเสียจริง ๆ

คงเป็นไปตามประสาของคนไทยอย่างเรา ๆ ที่จะได้ของใหม่ที่ "ยิ่งใหญ่" สำหรับครอบครัวเราเอง ก็จะนอนไม่ค่อยหลับกันทั้งครอบครัว (จริง ๆ)

หลายวันก่อนที่จะไปรับรถ "น้องนนท์" จะพูดว่า "วีออส" แหละ "วีออส" แซวกับผมเล่นเสมอ ๆ  มันเป็นความสุขที่กระผมเองก็ "ยิ้ม" อยู่ในใจเช่นกัน


สืบจากว่า...สินค้าที่จะได้ใหม่นั้นเป็น "รถ" และเป็นสินค้าที่มีราคา "แพง" (สำหรับครอบครัวเรา)

การนอนไม่หลับก่อนที่จะรับสินค้าในวันรุ่งขึ้นนั้น ผมคิดว่าเกิดขึ้นกับหลาย ๆ คนมาก แหละเป็นเรื่องธรรมดาไปซะแล้ว

สินค้าที่เป็น "บ้าน" ถึงแม้จะแพงพอ ๆ กันก็ไม่ตื่นเด้นเท่านี้นะ (ในความคิดของกระผมเองในฐานะที่เป็นคนไทย...แต่ถ้าเป็นรถยนต์นั้นจะตื่นเต้นมาก)

ในภาพนั้นคือ "น้องนนท์" ครับ ในเมื่อนอนดึก การที่จะตื่นเช้าก็ลำบากเป็นธรรมดา

แหละ...ท่านอนของเขานั้น "ประหลาดมาก" ห้องนอนแค่นี้ไม่พอหรอกครับ เพราะน้องนนท์นอน "กลิ้ง" ไปทั่วห้องซะแล้ว

ฉะนั้น...ตอนเช้า ๆ ไม่ต้องถูพื้นทำความสะอาดห้องอีกขอรับ เพราะ "เกลี้ยง" หมดแล้ว  นับว่าเป็นวิธีทำความสะอาดห้องที่น้องนนท์คิดค้นขึ้นมาใช้ตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วแหละท่านเอ๊ย....ย

ทั้งนี้น่าจะเนื่องมาจากคนไทยทำหรือสร้างรถยนต์ขึ้นมาใช้เองไม่ได้ และเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ต้องใช้เทคโนโลยีสูง

ฉะนั้น..คนไทยจึงไม่ผลิตใช้เอง แหละเนื่องจากต้องใช้กฏหมายเข้ามารองรับเยอะแยะ 

ทำให้เราเสียโอกาสในการทำเงินด้านการผลิตรถยนต์ขายในประเทศเอง ทั้ง ๆ ที่คนไทยใช้รถยนต์ในประเทศมากมายก่ายกอง

คิดดูว่า ...ประชากรคนไทยมีประมาณ 65 ล้านคน คนอเมริกันชนมีประชากรประมาณ 318 ล้านคน (เทียบปี 2555) ประเทศอเมริกาใช้รถกระบะเป็นอันดับหนึ่งของโลก 

และประเทศไทยใช้รถกระบะเป็นอันดับสองของโลก

มันเป็นไปได้อย่างไร โดยเมื่อเทียบกับจำนวนคนเพียงเท่านี้  สัดส่วนมันต่างกันแบบห่างกัน "ลิบลับ" มาก

กระนั้น...เราก็ยัง "ซื้อ" รถของคนอื่นใช้อยู่ตลอดเวลา ไม่คิดที่ "สนับสนุน" ใช้รถของคนไทยเองเลย

ถ้าจะกล่าวว่า "ไม่คิดที่จะผลิตใช้เองเลย" ก็กล่าวไม่ได้เสียเต็มที่ เพราะมีคนคิดผลิตขึ้นมาแล้ว....แต่....ไม่ได้รับการสนับสนุนนำไม่ใช้งานแบบจริง ๆ จัง ๆ เลย  นั่นคือยี่ห้อรถ VMC ปัจจุบันนี้ "ตายสนิท" ตั้งแต่ปีแรก คงมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาพัวพัน

กลับเข้ามาเรื่องของ "รถใหม่ป้ายแดง" ของเราดีฝ่า   รุ่งเช้าของวันที่ 16 สิงหาคม 2555 ทุกคน "ตื่นเต้น" มาก

จัดการ..อาบน้ำแหละแต่งเนื้อแต่งตัวกันแบบผู้ชายก็หล่อ ผู้หญิงก็สวยกันเต็มที่  

วันไปรับรถวีออสนั้น "น้องนิ้ง" ไม่ได้ไปเนื่องจากต้องไปเรียน

...แต่...น้องนนท์ไม่ไปเรียนครึ่งบ่าย เพราะอยากไปรับรถวีออสด้วยตัวเอง  อะไรมันจะตื่นเต้นกับการรับรถวีออสใหม่ขนาดนั้น

น้องนนท์..บอกว่า มันไม่ได้มีบ่อยนะพ่อนะ  ให้หนูไปด้วยนะพ่อนะ...นะ...นะ..นะ

น้องนนท์...มีความรู้เรื่องรถยนต์และรุ่นของรถยนต์อยู่บ้าง พอที่จะเล่าอะไร ๆ ได้แบบไม่ยากนัก 

ความสามารถที่มีอยู่นั้น "น้องนนท์" ได้บรรยายไว้ในงานมอเตอร์โชว์ประจำปี 2554 โดยท่านสามารถติดตามได้ที่ลิงท์นี้เลยครับ

http://gradingthong.blogspot.com/2011/03/32nd-bangkok-international-motor-show.html

ถ้าสังเกตุจาก  "ใบหน้า" ของอ้อยใจแล้ว "ยิ้มละรื่น" อยู่ในใจตลอดเวลาเลยนะ อาจจะกล่าวได้ว่า "หุบไม่ลง" เนื่องจากได้รับรางวัลชิ้นใหญ่ประจำปีเลยล่ะ

ผมเองตั้งใจที่จะให้เป็น "ของขวัญ" เช่นกัน เพียงแต่หาโอกาสเหมาะ ๆ ให้ได้ก่อน ประจวบกับปีนี้ (2555) รัฐบาลให้โอกาสกับประชาชนครั้งสำคัญครั้งหนึ่ง


จุดประสงค์เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทย นั่นคือ..ถ้าใครซื้อรถยนต์นั่งส่วนบุคคลขนาดไม่เกิน 7 ที่นั่ง

รวมทั้งความจุกระบอกสูบรถไม่เกิน 1,500 CC จะได้รับสิทธิ์คืนเงินภาษีสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท

ทั้งนี้สิทธิ์นั้นจะหมดเขตก่อนสิ้นปี 2555 เท่านั้น และมี "เงื่อนไข" ต่าง ๆ แนบท้ายด้วย

สำหรับรายละเอียดการได้รับสิทธิ์คืนเงินของรัฐบาลนั้นต้องมีครบถ้วนนะจ๊ะ  ไม่อย่างนั้นซื้อรถก็ไม่ได้รับสิทธิ์คืนเงินภาษีส่วนที่รัฐจัดไว้นะ

(รอ..บันทึกต่อนะจ๊ะ)

วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

น้ำมันดิบไหลลงสู่ทะเล 50 ตัน เนื่องจากท่อส่งแตก

เมื่อวันที่ 27 กรกฏาคม 2556 เวลาประมาณ 05.23 น. มีการรายงานว่าท่อส่งน้ำมันดิบจากเรือที่ต่อเข้าฝั่ง "แตก" ทำให้มีน้ำมันหกล้นลงทะเลกว่า 50 ตัน หรือประมาณ 50,000 ลิตร หรือมากกว่านั้น

สืบทราบได้ว่าเป็น "ผลงาน" ของบริษัท pttgc ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในกลุ่ม ปตท. ซึ่งเรารู้จักกัน

ส่วนสาเหตุที่แน่ชัดนั้น...ยังไม่สรุปว่าเกิดจากอะไร แต่กระนั้นก็อยู่ในขั้นที่ต้องสวบสวนต่อไป (ส่วนนี้กระผมไม่เกี่ยวข้อง)

การจะมา "วิพากวิจารณ์" ถึงเหตุที่เกิดขึ้นนั้น...มันเกิดขึ้นเพราะอะไรหรือใครทำ เป็นความรับผิดชอบของใคร

ทำอย่างไรถึงได้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้ จะอยู่ในขั้นตอนการ"สืบสวนสอบสวน" ต่อไป...ขอรับ

บางครั้งบางครา...มันก็เป็น "สามัญสำนึก" ของคนที่กำลังปฏิบัติงานอยู่ในขณะนั้นเป็นสำคัญด้วย


เหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่เกิดเป็นครั้งแรกในโลก  เกิดหลายครั้งแล้ว เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้แต่ละครั้งจะทำให้ "สูญเสีย" หลาย ๆ อย่างแบบ "มหาสาร"

ทั้งเงินตรา และภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อบริษัท รวมทั้งถูกประณามว่า "ทำลายสิ่งแวดล้อม" แบบหาที่เปรียบมิได้


 ถ้ายังจำเหตุการณ์เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2553 ที่ "อ่าวเมกซิโก" ได้ ครั้งนั้นเป็นของบริษัทน้ำมันยักย์ใหญ่ชื่อว่า บีพี


จำนวนของน้ำมันที่รั่วไหลคราวนั้นประมาณ 4.9 ล้านบาร์เรล หรือ 779,100,000 ลิตร หรือ ประมาณ 779,100 ตัน (เนื่องจากความถ่วงจำเพาะของน้ำมันดิบใกล้เคียงกับน้ำมาก โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 0.98)

แต่ด้วยปริมาณที่มันอยู่รวมกันแบบเยอะแยะเมื่อมันรวมเป็นกลุ่มเป็นก้อนสถานะของน้ำมันดิบต้องจมอยู่ในน้ำเป็นการชั่วระยะเวลาหนึ่ง

จำนวนของน้ำมันที่ทะลักล้นลงสู่ทะเลของบริษัท บีพี ครั้งนั้นครอบคลุมพื้นที่เป็นแนวยาวถึง 1,728 กม. 
ส่วนใหญ่จะครอบคลุมพื้นที่แถวปากแม่น้ำมิสซิสซิปปี่เป็นส่วนใหญ่


บริษัทได้รับการเสนอวิธีที่จะจัดการกับคราบน้ำมันดิบนับรวมกันถึงกว่า 10,000 วิธี  แต่...ที่บริษัทยอมรับมาพิจารณาถึงหัวข้อที่เป็นไปมีถึง 700 วิธี

ไม่ว่าจะกระทำการปฏิบัติแบบใดด้วยวิธีที่ช่วย ๆ กันคิดขึ้นมาสามารถแบ่งแยกได้ 3 วิธีการด้วยกันคือ 

1. วิธีการทางกายภาพ
2. วิธีการทางเคมี
3. วิธีการทางชีวภาพ

วิธีที่เห็นกันจนชินตาและบ่อยดังเช่น การเก็บกวาด ,การดูด, การตัก ,การใช้สารเคมีเพื่อให้เกิดการย่อยสลาย ,การซับน้ำมันจากที่เกิดเหตุโดยตรง 

สำหรับกรณีของไทยเราหรือของบริษัท ปตท.โกลบอลเคมีคอล จำกัด (มหาชน) หรือ pttgc นั้น ตัวเลขครั้งนี้บอกว่า 50,000 ลิตร หรือประมาณ 314 บาร์เรล 

ราคาซื้อขายน้ำมันดิบคิดที่บาร์เรลละ 107 บาท (09 สิงหาคม 2556) เท่ากับ 33,598 บาท  แต่ทั้งนี้ยังไม่นับรวม "ค่าโสหุ้ย" ต่าง ๆ ที่จะต้องจ่าย เช่น ค่าขนส่งทางเรือ ,ค่าจอดเรือ, ค่าพนักงาน ,ค่าพนักงานเดินเรื่อง ,ค่าภาษี ฯลฯ


แหละที่สำคัญ...ค่าจัดการกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดหลังน้ำมันรั่ว ก็เช่น ค่าชดเชยความเสียหายของการท่องเที่ยวที่โรงแรมจะควรได้ช่วยเกิดเหตุการณ์ ,ค่าฟื้นฟูธรรมชาติให้กลับคืนมาดังเดิม,ค่าแรงงานที่ต้องจ้างไปเก็บกวาด, ค่าหน่วยงานต่าง ๆ ที่เข้าช่วยเหลือตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย  


หลังจากนั้นยังมีเงินที่ต้องเข้าไปฟื้นฟูสิ่งต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพปกติเช่นเดิม ,การรักษาชื่อเสียงของบริษัทให้กลับมาในทางที่ดีเช่นเคย หรือต้องให้ดีกว่าเก่า ท้ายสุด...ความไว้วางใจ

เมื่อท่อส่งน้ำมันแตกก็จะทำน้ำมันที่ซื้อมาจากต่างแดนไหลลงสู่ทะเลทันใด  คล้าย ๆ "นำเงินไปโยนทิ้งลงทะเล" โดยไม่ตั้งใจ ถ้าความหมายเป็นอย่างที่ได้กล่าวไว้แล้ว....แน่นอนว่า...ไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้แน่

....ติดตามกันต่อนะครับ.....ดึกแล้ว

วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2556

น้องนิ้ง..แต่งชุด "กิโมโน"

"น้องนิ้ง" ในชุด...กิโมโน   ที่สวยสดใสในวัยเด็ก ครั้งนั้นเกิดขึ้นเพราะน้องนิ้ง "ประทับใจ" ความเป็นญี่ปุ่นสมัยเมื่อไปท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต

ความประทับใจกับสิ่งที่ดี ๆ นั้นทำให้เป็น "แรงบันดาลใจ" เกิดขึ้นกับน้องนิ้งตั้งแต่บัดนั้นมา

สำหรับการท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นครั้งแรกของน้องนิ้งนั้น ท่านสามารถชมและติดตามได้ตามนี้เลยครับ...
http://gradingthong.blogspot.com/2010/06/blog-post_22.html 

ความประทับใจมีอะไรบ้างสำหรับประเทศนี้ 
ดังเช่น
1.ความเป็นหนึ่งเดียวกัน ผู้ใหญ่ว่าอย่างไร..ทุกคนปฏิบัติตามนั้น
2.การไม่รับ "ทิป" หรือ "ติ๊บ" เมื่อบริการผู้อื่น แต่...เน้นทำงานให้เต็มที่
3.ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น

4.การตรงต่อเวลา
5.ผิด..ต้องรับผิดและขอโทษกับสิ่งที่กระทำไป
6.รักชาติเยี่ยงชีวิต

7.เคารพ..เทอดทูลและปกป้องกษัตริย์เป็นที่ตั้งและไม่กล่าวถึงไม่ว่ากรณีใด ๆ ...ยกเว้น "ความดี"...
8.เมื่อมีการตัดสินไม่ว่าเรื่องใดจะเคารพการตัดสินนั้น
9.เคารพและเชื่อมั่นคำสั่งสอนของผู้ใหญ่

10.เคารพและรักษ์บรรพบุรุษ ฯลฯ
11.คำกล่าวต้อนรับและขอบคุณลูกค้าเหมือนกันทั้งประเทศ
12.ให้เกียรติหรือ "ไม่ดูถูก" อาชีพของคนอื่น
อื่น ๆ อีกมากมาย

เริ่มต้น..จึงอยากเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่น เพื่อจะได้ทราบภาษาและวัฒนธรรมของเขาเป็นเยี่ยงใด ทำให้ต้องไปเรียนภาษาญี่ปุ่นที่โรงแรมสตาร์ระยอง

ขณะที่ไปเรียนภาษาญี่ปุ่นที่โรงแรมสตาร์ระยองนั้น น้องนิ้งจะมีเพื่อนเรียนอีก 1 คน นั่นคือ "น้องโซ่" 

เซนเซ่...หรือ ครูผู้สอนเป็นคนญี่ปุ่นโดยแท้ ลักษณะคือ เป็นคนญี่ปุ่นที่เข้ามาพำนักหรือทำงานในเมืองไทย แล้วใช้เวลาว่างเพื่อมาสอนพิเศษ

คล้าย ๆ กับอีกหลาย ๆ คนที่ไปทำมาหากินในต่างประเทศ โดยสอนภาษาของตนเองกับบุคคลที่สนใจ อาจจะเปิดสอนที่บ้านหรือสอนในสถาบันสอนภาษา

เซนเซ่..ที่สอนน้องนิ้งนั้นชื่อ "ซูซูกิ" ท่านสอนได้ดีมาก และน้องนิ้งก็ชอบด้วย เรียกว่า "สอนสนุก..เรียนเข้าใจ" 

 แน่นอนว่าถ้าเรียนสนุกสอนเข้าใจนักเรียนก็จะ "อยากเรียน" 

น้องโซ่...อายุอานามอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกันกับน้องนิ้ง จึงทำให้เกิดความสนิทสนมได้ง่าย พูดจาอะไร ๆ ได้ง่ายดายเพราะอยู่ในวัยเดียวกัน

ถ้าเพื่อนร่วมชั้นอายุต่างกัน การพูดคุยอาจจะไม่ง่ายเมื่อสื่อด้วยภาษาของวัยเดียวกัน หรือที่เรียกว่า "เกิดช่องว่างระหว่างวัย"

เมื่อเรียนไปซักพักนักเรียนที่เรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นก็อยากจะแต่งชุดประจำชาติของเขาบ้าง

นั่นคือ "แต่งชุดกิโมโน" โอว...มันแน่นอนอยู่แล้วใคร ๆ ที่เรียนก็อยากแต่งชุดนี้แน่

ฉะนั้น...เซนเซ่..จึงต้องจัดสรรนำชุดประจำชาติของเขามาให้นักเรียนได้ใส่ชุด และ "ถ่ายรูป" ไว้เป็นที่ระลึกด้วย

เมื่อทั้งคู่แต่งตัวจน "สวย" ได้ใจแล้วจึงให้มาบันทึกรูปไว้เป็นที่ระลึกร่วมกัน ยามใดที่หวนนึกถึงก็ให้กลับมาดูรูปที่เคยถ่ายไว้


ปัจจุบัน.."น้องนิ้ง" ยังจำชื่อเพื่อนคนนี้ได้ และการไป "ท่องเที่ยวญี่ปุ่นครั้งที่สอง" น้องนิ้งยังชวน "น้องโซ่" ไปด้วย แต่..น้องโซ่ ไม่สะดวกจึงทำให้ไม่ได้ไปเยี่ยมเยือนถิ่นปลาดิบด้วยกัน


การร่ำเรียนภาษาญี่ปุ่นครั้งแรกของทั้งสองคนเกิดขึ้นเมื่อช่วงเดือนมิถุนายน 2554 สำหรับการบันทึกภาพจะเป็นวันที่ 10 กรกฏาคม 2554

หรือ "น้องนิ้ง" กำลังศึกษาอยู่ชั้น ม.1 ของโรงเรียนตากสินระยอง แรงบันดาลใจอีกอย่างที่น้องนิ้งมีคือ ...การไปศึกษาต่อที่ประเทศญี่ปุ่น

จุดนี้สำคัญมาก ทำให้ต้องมาเรียนภาษาญี่ปุ่นเพื่อเป็นพื้นฐานไว้ก่อน ถ้าจะรอให้ไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่นแล้วค่อยมาเรียนภาษาญี่ปุ่นภายหลัง จะทำให้ "ล่าช้า" และ "เรียนยาก" 

เมื่อถึงเวลาไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่นแต่เรายังไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นจะทำให้เรา "ลำบาก" ถึงแม้จะมีภาคการเรียนที่เป็น "International" หรือ "ภาษาอังกฤษ" ก็ตาม

รวมทั้งการสื่อสารกับคนท้องถิ่นด้วย การใช้ภาษาอังกฤษในประเทศนี้อาจจะทำให้เราไม่ได้คำตอบเลยก็ได้  ทดสอบแบบง่าย ๆ ให้ลองนึกถึงประเทศไทย ให้ฝรั่งไปถามอะไร ๆ กับคนบ้านนอกเรา คาดว่าจะได้คำตอบหรือไม่

เมื่อเห็นทั้งสองคนแต่งตัวแล้ว "น่ารัก" ยิ่งนัก "ชุดกิโมโน" นี้จะเป็นชุดธรรมดา ๆ ในประเทศญี่ปุ่นเลย และประชาชนของเขาให้การสนับสนุนการแต่งตัวแบบนี้มาก

ทั้งนี้เพื่อเป็นการ "อนุรักษ์วัฒนธรรม" ของเขาให้ยืนยาวรวมทั้งเพื่อเป็น "เอกลักษณ์" ของประเทศด้วย เมื่อถึงวันสำคัญ ๆ ก็พยายามให้ประชาชนเขาใส่ไปงานต่าง ๆ ด้วย

ที่เห็นชัด ๆ เช่น วันรับปริญญาบัตร ทั้งชายและหญิงสามารถใส่ชุดกิโมโนไปรับปริญญาบัตรได้ และกระผมเองก็เห็นใส่กันเยอะด้วย

คนที่ใส่ชุดกิโมโนก็ "ไม่เขินอาย" ไม่เหมือนคนไทยใส่ชุดไทย จะเป็นเรื่อง"แปลก" ถ้าใครใส่ ทั้ง ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของไทยเราแท้ ๆ


สำคัญอีกจุดคือ ประเทศญี่ปุ่นเองสนับสนุนให้คนที่ใส่ชุดกิโมโนสามารถขึ้นรถโดยสาร "ฟรี" อีกด้วย เนื่องจากเขาเห็นว่าเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมเขา และน้อยคนจะใส่ชุดกิโมโน เพราะจะเดินเร็ว ๆ ไม่ได้



ช่วงที่เรียนอยู่โรงเรียนสอนภาษาที่โรงแรมสตาร์ระยองนั้น มีผู้ที่สนใจเรียนภาษาญี่ปุ่นจำนวนไม่มาก อาจจะไม่คุ้มกับการเปิดสอน จึงทำให้โรงเรียนขอ "ยุติ" การเรียนการสอนภาษาญี่ปุ่นชั่วคราว ทำให้นักเรียนทั้งสองต้องแยกย้ายกันไปเรียนที่อื่น

วันใดที่เดินมาพบกัน ขอให้ทักทายกันด้วยนะจ๊ะ   ...ซาโยนาระ

วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Stockholm Marathon 2013

การ "วิ่ง" เพื่อออกกำลังกายเป็นสิ่งหนึ่งที่ควรทำ ทั้งนี้เพื่อให้สุขภาพร่างกายของคนเราได้สร้างความกระปี้กระเปล่าให้กับตัวเอง

นำผลมาซึ่งสุขภาพที่แข็งแรง ไม่เจ็บไข้ "ออด ๆ แอด ๆ"   อีกสิ่งที่สำคัญคือทำให้ร่างกายได้สมดุล ร่างกายที่หุ่นงาม...ไม่ลงพุง...ยามที่อายุอานามมากขึ้น

คนที่ออกกำลังกายกับไม่ออกกำลังกายสุขภาพความแข็งแรงรวมทั้งความคล่องตัวจะไม่เหมือนกัน สิ่งนี้จะมองเห็นได้จากภายนอกร่างกายเป็นหลักที่ชัดเจนยิ่ง

การจัด "วิ่งมาราธอน" ของปีนี้จัดขึ้นตรงกับวันที่ 1 มิุถุนายน 2556 ที่กรุงสต๊อกโฮม ประเทศสวีเดน การจัดวิ่งครั้งนี้จัดเป็นครั้งที่ 35 แล้ว 

ระยะทางทั้งหมดคือ 42 กิโลเมตร นักวิ่งที่เข้ามาร่วมวิ่งสำหรับงานนี้จากทั่วโลกจำนวนที่ลงทะเบียนแล้ว 21,736 คน จาก 81 ประเทศ  

หนึ่งในนั้นเป็น "คนไทยคนเดียวที่เข้าไปร่วมแข่งขันสต๊อกโฮม มาราธอน" ปี 2013 นั่นคือ "คุณสุชาติ คัดถาวร" 

ท่านผู้นี้ตั้งใจที่จะเข้าไปร่วมงานใช้ระยะเวลาประมาณซักหนึ่งปีได้   ส่วนการฝึกซ้อมร่างกายนั้นซุ่มเก็บตัวได้ 4 ปีแล้วเน้อ  

ฉะนั้น..ความแข็งแรงของร่างกายก็จะถึงขึ้นแข็งแรงมากแล้วล่ะ  ถึงแม้จะไม่ได้ถูกทดสอบความแข็งแรงด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์การกีฬาใดๆ 

ส้นทางการใช้แข่งขันวิ่งของปีนี้ (2556) ก็ยังคล้ายเดิม เป็นเส้นทางที่วิ่งรอบเมืองรอบใหญ่ ดูามเส้นทางแล้วถือว่าสวยงามและลงตัวมาก 

การจัดแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ประจำประเทศ และถือเป็นรายการสำคัญอีกรายการหนึ่งของโลก ทำให้จำนวนนักวิ่งมีมาก การวิ่งในเขตเมืองหนาวอาจจะทำให้ร่างกายระบายความร้อนได้เร็วกว่าการวิ่งในแถบเมืองร้อน

แต่สิ่งที่จะทำให้หนักใจก็คือ "อากาศที่เบาบาง" ของคนในแถบร้อนไม่ค่อยคุ้นเคยที่จะต้องหายใจให้ยาวขึ้นกว่าเดิมจึงจะทำให้รับอากาศเข้าไปได้เต็มปอดเท่าเดิม ถ้าหายใจไม่เต็มปอดเช่นที่เคยก็จะทำให้ "เหนื่อยเร็ว" กว่าปกติ

เรียกได้ว่า "เป็นตัวแทนประเทศไทย" เพียงคนเดียวที่เข้าไปร่วมงานวิ่งครั้งนี้ ซึ่งทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักกับหลาย ๆ ประเทศที่สมัครวิ่งร่วมกัน 

ถึงแม้งานหลักจะเป็นการไปวิ่งมาราธอน แต่ส่วนที่ได้เสริมคือการท่องเที่ยวในประเทศสวีเดน สำหรับประเทศสวีเดนมีสถานที่่ท่องเที่ยวหลายแห่งด้วยกัน

สำหรับวันที่คุณสุชาติจะเดินทางไปนั้นก็มีบุคลากรหลายท่านไปส่งที่สนามบินสุวรรณภูมิ ดังเช่น "ครอบครัวอยู่เย็น" คือ นาย..กระดิ่งทอง,คุณอ้อยใจ,น้องนนท์, น้องนิ้ง

ถึงแม้ครอบครัวอยู่เย็นจะไปสนามบินสุวรรณภูมิหลายครั้งมาก 

แต่..ไปสนามบินสุวรรณภูมิครั้งใดก็ยังตื่นเต้นทุก ๆ ครั้งเสมือนว่าจะเดินทางเองซะอย่างนั้น

และอีกครอบครัวหนึ่งคือ "คุณทอม" , "คุณนิด" ซึ่งคุณนิดได้นั่งเครื่องบินหลายต่อหลายครั้งแต่ดูฝั่งคุณทอมก็ไม่ค่อยจะตื่นเต้นที่จะนั่งเครื่องบินซะเท่าไร  

และไม่ค่อยสนใจไปท่องเที่ยวต่างประเทศอีกด้วย (คงจะไม่ชอบไปต่างประเทศจริง ๆ ) หรือว่า "กลัว" เครื่องบินตกหรือเปล่า

นับต่อจากที่ไปส่งคุณสุชาติเพียง 2 อาทิตย์ คุณนิดก็เดินทางไปท่องเที่ยวประเทศสิงคโปร์อีกรอบซะแล้ว ถ้าถามคุณทอมว่าสนใจไปท่องเที่ยวต่างประเทศบ้างมั๊ย  ....คุณทอมบอก....แบ๊ะ..แบ๊ะ

ครอบครัวของคุณสุชาตินั้นก็มี "คุณวิ" (ภรรยา), น้องวิว (ลูกสาว) ส่วน "น้องว่าน" นั้นไม่มาส่งคุณพ่อเลย (ไม่ทราบว่าติดละครช่องไหนอยู่หรือเปล่าจึงไม่มาส่งคุณพ่อเลย

ได้ยินแว่ว ๆ ว่า..คุณสุชาติจะเดินทางไปสืบสถานการณ์ก่อน อีกครั้งซักก่อนสิ้นปีจะพาครอบครัวไปท่องเที่ยวกันหมดเลย

มันต้องอย่างนั้นสิ...ถ้าอย่างนั้นนับจากนี้ไปก็อีกไม่กี่เดือนครอบครัว "คัดถาวร" ก็จะได้ไปท่องเที่ยวยุโรปนั้นคือประเทศสวีเดนกันทั้งครอบครัวอย่างแน่นอน

เมื่อไปถึงสนามบินซักเกือบจะสามทุ่มเราก็ได้พูดคุยทักทายและแนะนำอะไรๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อกันบ้างเล็กน้อย

 อากาศทางยุโรปนั้นก็เย็น ๆ ต้องใส่เสื้อกันหนาวตลอด ฉะนั้น..คุณสุชาติคงไม่นำผ้าขาวม้าไปนุ่งแน่นอน แต่..สามารถทำผ้าพันคอได้ ซึ่งก็จะเก๋ไก๋ไปอีกแบบ

ผมสังเกตุเป็นกระเป๋าเดินทางของคุณสุชาตินั้น "ปริ" เลย ไม่ทราบว่านำสิ่งของทั้งกินจริงและกินเล่นไปต่างประเทศด้วย

การเดินทางโดยนั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯไปถึงสวีเดนนั้นจะใช้เวลาประมาณ 11 ชั่วโมงโดยประมาณ 

ถ้าเป็นการเดินทางไกล ๆ ที่เป็นครั้งแรกเราจะตื่นเต้นซักมากกว่าเหนื่อย โดยออกเดินทางจากกรุงเทพฯตอนเที่ยงคือ เมื่อไปถึงสวีเดนก็จะเป็นช่วงเช้า ๆ ประมาณ 7 นาฬิกา

การไปส่งคุณสุชาติเดินทางไปต่างประเทศครั้งนี้ทำให้กลุ่มของเราได้มีโอกาสพบกันอีกครั้งหนึ่ง  โดยย้อนอดีตไปนานหลายเดือนแล้วที่ไม่ได้พบปะกัน  จึงทำให้เหล่าคุณ ๆ เธอ ๆ พูดคุยกันอยู่นานมาก...ต่างคนต่างเม้าท์กัีนไป
สังเกตุบรรยากาศวันนั้น มีผู้คนเดินทางไปที่สนามบินเยอะมาก อีกทั้งสถานที่จอดรถบางจุดก็หยุดซ่อมจึงไม่สามารถนำรถไปจอดได้ ทำให้การจราจรแออัด

ที่ผมสังเกตุอีกจุดหนึ่งคือ "ชาวอินเดีย" และ "ปากีสถาน" จะหอบหิ้วนำเอาโทรทัศน์ชนิด LCD , LED กลับบ้านด้วยแทบจะทุกคน

กระผมคงเข้าใจว่าโทรทัศน์บ้านเราถูกกว่าบ้านเขาแน่ ๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะหลาย ๆ ประเทศก็มีข้อเด่นและข้อด้อยอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว


ยืนคุยกันอยู่นานมาก เนื่องจากอยากจะอยู่เป็นเพื่อนกับคุณสุชาติให้นานที่สุด  เนื่องการเดินทางไปต่างประเทศคนเดียวก็ไม่รู้จะคุยกับใครได้บ้างถ้าเดินเข้าไปข้างในแล้ว

ดังนั้น...เราจึงได้บันทึกรูปภาพไว้หลายภาพด้วยเช่นกัน และรูปภาพที่อยากจะบันทึกไว้อีกจุดหนึ่งคือ ถ่ายภาพคู่กับ "ยักษ์" ที่เขาติดตั้งไว้ที่สนามบินนั่นเอง


สนามบินสุวรรณภูมิของประเทศไทยนั้นถือว่าเป็นสนามบินที่ใหญ่และสวยเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกเลยทีเดียว

โดยเฉลี่ยจะมีเครื่องบินที่บินขึ้นและบินลงที่สนามบินสุวรรณภูมินาทีละ 1 ลำ

ในระหว่างที่เรากำลังพูดคุยกันเพลิน ๆ นั้นก็มีเสียง "เจี๊ยว..จ๊าว" ขึ้นมาในล๊อกข้าง ๆ กระผมจึงหันไปดู วันรุ่นหญิงของเรากำลัง "กรี๊ด" ให้กับนักร้องเกาหลีอยู่ท่่านหนึ่ง

ซึ่งกระผมนึกชื่อไม่ออกว่าเป็นใคร แต่ดูไกล ๆ แล้วก็ทำให้รู้สึกว่าต้องเป็นนักร้องอย่างแน่นอน เนื่องจากการแต่งตัวของเขามันฟ้อง



อีกภาพหนึ่ง...เป็นภาพของครอบครัวคุณสุชาติเอง ดูภาพแล้วทำให้รู้สึกว่า "อบอุ่น" ยิ่ง
นัก ส่วนน้องวิว...ก็น่ารักเป็นที่สุด   ความซนนั้นก็พอ ๆ กับความน่ารักนั่นแหละ

นับเป็น "ประวัติศาสตร์" ให้กับตัวเองที่ได้เข้าไปร่วมวิ่งมาราธอนต่างประเทศ ซึ่งโอกาสแบบนี้หาไม่ได้ง่าย ๆ เลย เนื่องจากต้องเสียสละเงินส่วนหนึ่งที่จะต้องเดินทางไป รวมทั้งค่าอยู่ค่ากิน

เรื่องความรู้สึกที่เกิดขึ้นขณะที่กำลังไปร่วมงานนั้นซื้อ-ขายกันไม่ได้ มันเป็น "ความภูมิใจ" ลึก ๆ ที่อยู่ในใจ  แน่นอน...ไม่มีของฟรีในโลกนี้ มีแต่จะจ่ายมากจ่ายน้อยเท่าไร


เมื่อเริ่มใกล้จะถึงเวลาซักห้าทุ่มหรือก่อนเที่ยงคืน กลุ่มเราที่ไปส่งคุณสุชาติก็ต้องแยกย้ายกันกลับ เนื่องจากว่าคุณสุชาติต้องไปตรวจเอกสารผ่านเข้าไปภายในสนามบินอีกครั้ง

ซึ่งกลัวว่าถ้าเข้าไปช้าแล้วมีผู้คนเยอะ..อาจจะ..ทำให้ไม่ัทันเครื่องบิน  ดังนั้น..เราจึงแนะนำว่าให้เข้าไปข้างในก่อนดีกว่า

และยิ่งเป็นการเดินทางไปต่างประเทศคนเดียวอาจจะทำอะไรไม่ค่อยถูก....แล้วจะนำมาซึ่งการเสียเวลาต่อไป

ในระหว่างก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับนั้น ก็ให้คุณสุชาติเขียนเอกสารทั้งออกนอกราชอาณาจักรและตรวจคนเข้าเมือง

เนื่องจากข้อความบางตอนอาจจะอ่านแล้วไม่เข้าใจ ฉะนั้นจึงให้คนที่เคยไปแนะนำว่าต้องขีดเขียนอะไรบ้าง

ถ้าขีดบางข้อบางตอนไม่ถูกเจ้าหน้าที่อาจจะถามเยอะและต้องสำแดงอะไรที่เราขีดผิดไว้ มันจะทำให้เราต้องคุยกันนาน (จะมึนซะก่อน) 


ใกล้จะห้าทุ่ม..คุณสุชาติได้กรอกเอกสารเสร็จรีบร้อยพอดี ต่อไปก็ถึงเวลาที่ต้องแยกย้ายกันจริง ๆ ซะแล้ว  

แต่...เมื่อสังเกตุใบหน้าของคุณสุชาติแล้วคล้าย ๆ ลักษณะ "ดีใจ" มากไม่ทราบว่าดีใจด้วยเรื่องอะไร (มีอะไรแอบแฝงหรือไม่น้อ)


ไม่มีอะไรหรอกครับ  เป็นเพียงยินดีที่มีคนที่รู้จักมาส่งและเป็นเพื่อนเดินทางกลับของครอบครัวคุณสุชาติเท่่านั้น

สมาชิกของครอบครัวอยู่เย็นก็อวยพรให้คุณสุชาติเดินทางได้ตลอดปลอดภัย และขอให้สำเร็จในสิ่งที่อยากทำ การวิ่งมาราธอนระยะ 42 กิโลเมตรนั้นถือว่า "หิน" ยิ่งนัก

ถ้าร่างกายไม่พร้อมมากจริงๆ ถือว่าเป็นสิ่งที่อันตรายต่อร่างกายเป็นอย่างมาก ปัจจัยที่เอื้อต่อการวิ่งครั้งนี้คือ...อากาศเย็น ๆ และทิวทัศน์ที่เราไม่เคยเห็นจำทำให้เรา "ลืม" ความเหนื่อยขณะที่วิ่ง

เป้าหมายที่อยากให้คุณสุชาติสำเร็จคือ "เข้าเส้นชัย" เรื่องเวลาถือเป็นสิ่งรอง นั่นคือ "เป้าหมาย" ที่คุณสุชาติตั้งไว้

เนื่องจากโดยสถิติ การวิ่งมาราธอนคนที่ทำได้เร็วสุดเวลาจะอยู่ที่ 2 ชั่วโมงถ้วน ๆ เท่่าที่ผมสังเกตุดูคนที่ทำเวลาได้แถว ๆ นี้จะใช้เวลาสำหรับการวิ่งระยะ 100 เมตรลดลงไปครึ่งหนึ่ง

แต่...คนที่วิ่งระยะทาง 42 กิโลเมตรนั้นต้องทำความเร็วใกล้เคียงกันตลอดระยะทางและต้องใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง


ดังนั้น..กรณีของคุณสุชาติอาจต้องใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงสำหรับการวิ่งมาราธอนในครั้งนี้

จากนั้นจึงได้ร่ำลากัน คุณสุชาติจึงเดินทางเข้าไปภายในสนามบิน เป้าหมายคือเมือง..สต๊อกโฮม..ประเทศสวีเดน

ส่วนบุคคลที่ไปส่งคุณสุชาติเป้าหมายคือ ..บ้าน..ที่จังหวัดระยอง คืนนั้นเรากลับมาถึงบ้านประมาณ 1 นาฬิกา หรือ ตีหนึ่ง

เท่าที่กระผมสังเกตุตลอดการเดินทางกลับบ้าน มีรถยนต์วิ่งตลอดเส้นทาง ถึงแม้จะดึกดื่นเที่ยงคืนขนาดไหนก็ยังมีรถวิ่งบนท้องถนนอย่างไม่ขาดสาย 

เหตุที่ทำให้เป็นอย่างนั้นเนื่องมาจากแถบทวีปเอเซียกำลังเจริญเติบโตเป็นอย่างมาก  แหละบริเวณท่าเรือแหลมฉบังเป็นจุดที่ขนถ่ายสินค้าขนาดใหญ่ของประเทศไทย

จึงต้องขนส่งสินค้ามาที่แหลมฉบังเป็นหลักเพื่อทั้งการส่งสินค้าออกและนำเข้า ถนนที่กำลังขยายความกว้างสร้างเพื่อให้ความสะดวกกับรถที่แล่นมายังท่าเรือแหลมฉบัง

ดังนั้น..การขนส่งสิ่งของจึงต้องอาศัยรถยนต์และรถไฟเป็นพาหนะร่วมด้วย น่าแปลกที่ประเทศไทยผลิตรถให้กับประเทศอื่น ๆ จนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

....แต่....ประเทศไทยไม่มีสินค้าประเภทรถยนต์เป็นของตัวเอง (น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง)


                           .....ชมภาพที่แสนจะอบอุ่นคืนนั้น.....














                               ขอให้ทุก ๆ ท่านโชคดีและสุขภาพร่างกายแข็งแรง

                                             จาก .....กระดิ่งทอง