วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556

สงกรานต์ ปี 2556

"สงกรานต์" ประจำปี ๒๕๕๖ ปีนี้ "ครอบครัว..อยู่เย็น" ได้พร้อมเพรียงเรียงหน้ากันเข้ากราบผู้เป็น "บิดร" และ "มารดา" กันอีกปีหนึ่ง

โดยปีนี้ได้อยู่กัน "ครบ" กว่าหลายปีที่ผ่านมา ความพร้อมที่มีนั้น ไม่ได้มีด้วยความบังเอิญหรือเสริมแต่ง 

..แต่..เป็นวัฎจักรวงจรของชีวิตที่ทำให้ต้องพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง

เมื่อหลาย ๆ ปีนับรวมกัน "อายุ" ใช่แล้วยิ่งนานปีเข้า "ความชำนาญ" ก็ยิ่งเกิดกับแต่ละบุคคลมากขึ้น
ต่างคนก็ต่างมีสิ่งที่ต้องติดตัวมาเสนอนั่นคือ

อย่า..ให้ความนานปีเป็น "ความดักดาน" กับเราเลย (มันไม่ดี) สิ่งใดที่แลกเปลี่ยนกันได้ก็ควรที่จะทำ

...ดีแล้วที่ครอบครัวเราไม่ได้เป็นอย่างที่กล่าวมา  เรา "อบอุ่น" กันทุกปี และ "สนุก" กันแบบนี้กันหลายปีมาแล้ว

เราตกลงกันเป็นเวลานานแล้วว่า วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๖ จะรวมตัวกันเพื่อ "ไหว้พ่อและแม่" แหละทุก ๆ คนที่มาร่วมงานวันสงกรานต์ที่บ้านเรา

ฉะนั้น...ตั้งแต่เช้า ๆ ทุก ๆ คนก็ต้องทำสิ่งอื่น ๆ ให้พร้อมเพื่อที่จะรวมตัวกันในตอนเที่ยงหรือบ่ายโมง โดยช่วงบ่ายวันสงกรานต์นั้น ..อาติ๋ว..เป็นคนเริ่มทำกับข้าวกับปลา

ต้องยอมรับว่า..อาติ๋ว..นั้นทำกับข้าวได้ "อร่ิอย" มาก (ไม่รู้ใส่ผงชูรสเยอะหรือไม่ หรือว่าใส่ "กัญชา")

เมื่อกับข้าวกับปลาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหล่า "ลูกหมู" ก็ตั้งวงกับข้าวกัน  ในวันสำคัญ  ๆ อย่างนี้ก็ต้องมี "เบียร์" เข้ามาร่วมเพิ่มความสนุกสนานด้วย  เบียร์ที่นำมาดื่มนั้นก็จะมีทั้ง "เบียร์ช้าง" ,เบียร์สิงห์ ,และเบียร์ลีโอ เป็นเบียร์ไทย ๆ เรานี่แหละครับ

สำหรับเด็ก ๆ นั้น ก็จะมีน้ำอัดลมพร้อมขนมและนมเนยด้วย สำหรับวันสงกรานต์นั้นทุก"ตื่นเต้น" ที่วันนี้ครบรอบมาถึงอีกหนึ่งปีแล้ว


ในอดีตนั้นวันสงกรานต์คือ "วันปีใหม่ไทย" นั่นเอง ซึ่งจะนับเอาวันที่ 13 เมษายน ของทุก ๆ ปีเป็นวันขึ้นปีใหม่ไทย  ครั้นโลกมันเชื่อมโยงหากันหมดแล้ว ก็ต้องปรับเปลี่ยนอะไร ๆ ที่เป็นสากลบ้าง 

แต่คนไทยก็ยังยึดเอาวันที่ 13 เมษายน ของทุก ๆ ปีเป็นวันปีใหม่ด้วย "วันตรุษจีน" เป็นวันปีใหม่ของเขาเช่นกัน  ....ไม่แปลกอะไรเลย...
เฉกเช่นคนจีนก็จะถือเอา

ช่วงเวลาที่เราเตรียมกับข้าวกับปลานั้น แผนกเครื่องเสียงก็ตระเตรียมระบบไป โดยเปิดเพลงคลอไปด้วย ตั้งระบบเสียงไปด้วย 

อีกสิ่งหนึ่งที่เตรียมไว้เพื่อความสนุกสนานนั่นคือ "โปรเจคเตอร์" เพราะต้องมีการฉายภาพยนต์รอบปฐมบทของแต่ละคน

เนื่องจากเพิ่งจะกลับจากท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นกันหมาด ๆ เลย ดังนั้น...ต้องมีอะไร ๆ ที่ "หลุด" ออกมาให้ชมบ้าง ส่วนฉบับเต็มนั้นต้องรอกันหน่อยนะท่านผู้ชม (เนื่องจาก "ผู้กำกับ" กำลังปลูกสร้างบ้านอยู่ ทำให้มีเวลาน้อย)

น้องโย...ทดสอบไมค์ไปพลาง ๆ ก่อน พร้อมกับ
ร้องเพลงเบา ๆ ไปด้วย เนื่องด้วยไม่ได้จัดสังสรรค์กันนาน ทำให้เวลาจะใช้อะไรแต่ละกันก็จะหลง ๆ ลืมตำแหน่งของที่เก็บไว้บ้าง

ส่วน "น้องญา" ก็ "อ้อน" ปู่ซะไม่มี  ดูแล้วก็น่ารักไปอีกฉบับหนึ่ง อย่างว่าเด็ก ๆ แต่ละคนนั้นจะน่ารักและน่าเอ็นดูอยู่แล้ว  แต่..บางครั้งก็น่าเตะก้นเสียจริง ๆ

เมื่อระบบเสียงลงตัว และกับข้าวทำได้ครึ่งหนึ่งแล้ว เหล่าสมาชิกจึงเริ่มที่จะ "ตั้งวง" นั่งรับประทานอาหารกัน

พร้อมกันนั้น "อาตึง" ก็เริ่มบรรเลงเพลงขึ้นเป็น "ขวัญหู" ซะเลย 1 เพลง อาจจะเริ่ม "ตึง ๆ" แล้วกระมังถึงได้กล้าขนาดนี้


กลุ่มเราสนุกสนานกับแบบครอบครัว ซึ่งเป็นสนุกที่ไม่ต้องจ่ายแพงมากนัก การรวมกลุ่มแบบนี้คงหาอยากในหลาย ๆ ครอบครัว แต่...เรา "ทำได้" หรือว่า "เอาอยู่" ดี จะใช้คำไหนกันดีน๊า....

พอดื่มกันไปได้ซัก "กรึ่ม ๆ" จนทุก ๆ คนได้ร้องเพลงตามที่อยากร้องแล้ว"พ่อ" จะได้ร่วมร้องเพลงสนุกกับเรา
ต่อไปนี้จึงเปิดเพลงของพ่อบ้าน ซึ่ง

เพลงนั้นที่ขึ้นชื่อเมื่ออดีตที่พ่อชอบอีกหนึ่งเพลงคือ "คนขี่หลังควาย" เพลงนี้เป็นเพลงของคุณดาว บ้านดอน ร้องไว้ถ้านับเวลาถึงปัจจุบันก็ประมาณ 45 ปีแล้วล่ะ

                   ฉะนั้น...เรามาฟัง "คุณพ่อ" ร้องเพลงนี้กันเุถอะ....




เมื่อคุณพ่อได้ร้องเพลงนี่้แล้ว ทำให้ตัวกระผมเองนึกถึงอดีตเมื่อยามเด็กที่คุณพ่อจะชอบเปิดเพลงนี้ พร้อมกับนึกถึงเครื่องเล่นเทปที่คนรู้จักจะนำมาขายต่อให้ ซึ่งตอนนี้บอกกับพ่อว่าจะขายให้ในราคา 500 บาท สุดท้ายคุณพ่อก็ไม่ได้ซื้อ

บ้านนอกบ้านนาสมัยก่อนนั้นไม่มีไฟฟ้าใช้ จึงต้องใช้ถ่านไฟฉายเป็นแหล่งพลังงาน และเครื่องเล่นเทปนั้นตอนที่ประจุไฟยังเต็มปรี่อยู่เสียงของนักร้องที่ออกจากเครื่องเล่นจะเป็นปกติ

แต่ถ้าประจุไฟเริ่มที่จะลดลงหรือที่เรียกว่า "ถ่านอ่อน" เสียงของนักร้องที่ออกจากเครื่องเล่นก็จะ "ยืด" หรือ "ยาน" ทำให้ต้องซื้อถ่านไฟฉายก้อนใหม่มาเปลี่ยน

สมัยแรก ๆ นั้นเครื่องเล่นเทปจะเล่นได้อย่างเดียวไม่สามารถบันทึกเสียงได้  วิทยุเทปคาสเซ็ทในยุคนั้นใครมีก็ืถือว่า "มีเงิน" น่ะ เนื่องจากเป็นสิ่งของสมัยใหม่และ "ฟุ่มเฟือย" อยู่บ้าง เพราะจะหาซื้อเทปเพลงก็ต้องเข้าไปซื้อในเมืองหรือตัวจังหวัด

ถ้าเปรียบเทียบกับวิทยุทรานซิสเตอร์ที่เป็นระบบ AM/FM นั้นจะอยู่ในยุคเดียวกัน

ครั้น..จะเริ่มมืดแล้ว เหล่าลูก ๆ หลาน ๆ ต้องเตรียม "ขันใส่น้ำพร้อมแป้งและดอกไม้" ไว้สำหรับไหว้คุณพ่อคุณแม่ นัยว่า...เป็นการเคารพต่อผู้ใหม่และ "ขอขมาลาโทษ" ในสิ่งที่ล่วงเกินท่านไป


ตะวันได้คล้อยต่ำลงแล้ว ทุก ๆ คนจึงจะเริ่มทำ "พิธีรดน้ำดำหัว" ให้กับปู่และย่า (พ่อและแม่)

หลาน ๆ จึงได้เชิญคุณปู่และคุณย่ามานั่งเก้าอี้ได้ที่ได้เตรียมไว้ มองดูบรรยากาศแล้วทำให้ "อบอุ่น" ยิ่งนัก วันสำคัญ ๆ เช่นนี้คุณปู่และคุณย่าต้องดีใจและปลื้มปิติเป็นอย่างมาก

ดูที่ใบหน้าของทุก ๆ คนต่าง "อิ่มเอิบ" กับวันสำคัญวันนี้ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ 

ทำให้เรารู้จัก "อ่อนน้อมถ่อมตน" และรู้จัก "ที่ต่ำที่สูง" มันเป็นประเพณีที่สืบทอดปฏิบัติกันมาช้านานแล้ว

ความสุขที่เกิดขึ้นในวันนี้มันเป็นความทรงจำที่ยาวนานมาก คนธรรมดาอย่างเรา ๆ นั้นถ้าจะอยู่คนเดียวนาน ๆ คนอึดอัดแน่  เมื่ออยู่รวมกันเป็นหมู่คณะก็จะสบายใจ เนื่องจากมนุษย์เรานั้นเป็นสัตว์สังคม

ลูก ๆ และหลาน ๆ ก็มีความสุขที่ได้ร่วมกิจกรรมประเพณีสำคัญ ๆ อย่างนี้ สิ่งใดที่ดี ๆ ก็ควรที่จะยึดถือปฏิบัติไว้ สิ่งใดที่ไม่ดีก็ไม่ควรจะปฏิบัติและควรละทิ้งซะ

วันนี้เหล่าลูก ๆ หลาน ๆ ได้พร้อมหน้าพร้อมตากันทุกคน ทำให้บรรยากาศเป็นที่สนุกสนานมาก 

แม้..บางครั้งบางตอนจะนำอดีตมาเล่าสู่กันฟังก็ทำให้ทุก ๆ คนหัวเราะมีความสุขกัน นั่นเพราะอดีตได้ผ่านไปนานแล้ว หลาย ๆ คนก็นำความหลังมาเล่าสู่กันฟัง

โดยเฉพาะ "อาโจ" นั้นเล่าอดีตได้มันส์ ๆ มาก ทำให้หลาน ๆ และหลายคน
ต้องหัวเราะน้ำตาไหล มันเป็นความสุขที่ไม่เล็กและก็ไม่ใหญ่จนเกินไปสำหรับครอบครัวเรา

และวันนี้..อาโจ..ได้นำเสนอภาพที่ไปท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นครั้งที่สองมานำเสนอให้ชมบ้างเล็กน้อย ทำให้ "หวนคิดถึง" อดีตที่ผ่านมาอีกครั้งหนึ่ง

...สำหรับวีดีทัศน์ของอาโจนั้น ดูได้ตามนี้เลย...


หลังจากเสร็จพิธีแล้ว  ทุก ๆ คนก็มานั่งพูดคุยถึงสัพเพเหระต่าง ๆ และให้ทุก ๆ คนแสดงความคิดเห็นของแต่ละคนออกมาเล่าสู่กันฟัง ซึ่งค่ำคืนนั้นทุก ๆ คนก็แสดงความคิดเห็นได้แบบเต็มกำลัง


สำหรัีบ "อาหรั่ง" งานนี้โดนเยอะหน่อย เพราะต้องต้อนรับการจบ "ด๊อกเตอร์" คนแรกของตระกูลอยู่เย็นของเรา ถือเป็นการต้อนรับครั้งสำคัญนอกจากการรับปริญญาที่จบอีกงานหนึ่ง

หลังจากที่ไปแสดงความยินดีเมื่อครั้นจบการศึกษาที่ประเทศญี่ปุ่นแล้ว กลับมาบ้านก็ขอต้อนรับกลับบ้านอีกครั้งหนึ่งด้วยละกัน

แหละจากนั้น...ให้ท่านชม "วีดีทัศน์" ที่ "อาฉี" ได้จัดทำขึ้นเพื่อ "รำลึกความหลังและปัจจุบัน" อีกครั้ง ...ขอให้ท่านรับชมและรับฟังได้ตามนี้เลย...ขอรับ...



ซึ่งจะได้ทราบว่ามีอะไรที่ต้องปรับปรุงและต้องแก้ไข หรือว่าใครมีอะไรที่ดี ๆ ก็ให้มาเล่าสู่กันฟัง 

การกระทำแบบนี้คนญี่ปุ่นเขาใช้กันมานานแล้ว หรือจะเรียกว่า "ไคเซน" ก็ได้ มันเป็นการค่อย ๆ พัฒนาอะไรก็แล้วแต่ให้ค่อย ๆ ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ

ค่ำคืนนั้นเมื่อได้ดู "วีดีทัศน์" ที่อาโจนำ้มาเสนอฉายให้ดู ทำให้ทุก ๆ คนนึกถึงบรรยากาศตอนที่ไปท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นอีกครั้งหนึ่ง

หลายจุดที่เราก็นำ "โจ๊ก" มาเล่าสู่กันฟัง เพราะมีอะไร ๆ ที่เก็บไว้เพื่อเล่าสู่กันฟังของแต่ละคนมีเยอะมาก

ยิ่งในวงเหล้าแล้วเมื่อได้เล่า "ความเด๋อ" ของใครแล้วจะขำจนน้ำตาเล็ด ซึ่งมันเป็นความสุขที่หาไม่ได้ง่ายนัก

ค่ำคืนนั้น...แว่ว ๆ ว่าสนุกสนานกันจนถึงเกือบตีสามแน่ะ   ฉะนั้น...ค่ำคืนนี้จึงขอลาก่อน  เพราะว่า..สายัณห์..เองก็เมาเยอะแล้ว....มันสิ...ฮาก...ซั่นแหลว

                           ....ชมภาพของความประทับใจวันปีใหม่ไทยกัน....










                                 ขอให้สุขภาพแข็งแรงกันถ้วนหนาทุก ๆ คน

                                          จาก...อาฉี สี่เอี่ยว