วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ความขัดแย้งของสังคมไทย

ทำอะไรตามใจ..คือ..ไทยแท้   เป็น "วลี" ที่กล่าวและได้ยินมานานแล้วในเมืองไทย  แต่...การทำตาม "วลี" ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นช่างตรงกับนิสัยของคนไทยซะเหลือเกิน

"ดุจ" หนึ่งเป็นสิ่งที่ปลูกฝังไว้ในสายเลือด อาจจะเพราะ...เมืองไทยไม่เคยเป็น "เมืองขึ้น" ของชาติใด ๆ ในโลก (แต่ความจริงแล้ว  "ตกเป็นเมืองขึ้นของเขาแหละ เพียงแต่ไม่ยอมรับ" ดิ้นรน หรือ ตอแหล หาทางเลี่ยงไปเรื่อย  เรียกได้ว่า...ใครได้เปรียบจะอยู่ฝ่ายนั้นเสมอ)

สิ่งที่กล่าวมานั้นไม่ได้ดูถูกคนไทยทั้งหมด เพียงแต่ "ส่วนใหญ่...เป็นอย่างนั้น" ด้วยความที่เราอิสระมาโดยตลอด ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมากมาย จึงไม่ค่อยจะรู้ว่า "ความเดือดร้อนที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร"

ครั้น..จะกล่าวว่า "ไม่เดือดร้อน" ซะเลยก็ไม่ได้ เพราะถ้านับย้อนไปสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น เราเคยเสียกรุงศรีเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2112 เมื่อเทียบปัจจุบันปี 2557 นั้นเราย้อนไปได้ 445 ปี

ความเดือดร้อนของชนชาวไทยที่ต้องเสียกรุงให้กับ "พม่า" มันเป็นการ "แพ้" อย่างราบคาบที่แท้จริง โดยต้องตก "เป็นทาส" ให้กับพม่าถึง 15 ปีด้วยกัน ชนชาติไทยจึงได้เป็นเอกราชอีกครั้ง

ภาพที่ต้องทนทุกข์ ,ทรมาณ กับการไม่มีอิสระ ต้องทำทุกอย่างที่เขาอยากให้เราทำแบบ "ตามใจคนสั่ง" นึกภาพแล้ว "อดสู" ยิ่งนัก

เมื่อเมืองไทยกู้ชาติ เป็นอิสระได้ไม่นาน ก็ "เสียกรุงศรี..เป็นครั้งที่ 2" แล้วคำว่า "ไทย..ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นใคร" มันได้มาอย่างไร..เล่า   หรือ มันไม่เคยเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของข้าพเจ้า ฉะนั้น...ข้าพเจ้าไ่ม่รับรู้...อย่างนั้น..หรือ

 นั่น...เพราะ เราเอง "ไม่ค่อย" จะยอมรับกับความจริงที่เกิดขึ้น กอร์ปกับ "คนไทย..ลืมง่าย" ในความจริงนั้นคนไทยไม่ลืมง่ายหรอก  ...ยังจำได้เสมอ...นั่นแหละ เพียงแต่ "ไม่อยากมีปัญหา" ไม่อยากสร้างเรื่องให้ยืดยาว

ที่กล่าวมานั้น เป็นบุคลิคของคนส่วนใหญ่ การไม่อยากสร้างปัญหาให้ยืดยาวและไ่ม่่อยากมีพิษมีภัยกับใคร ๆ ทำให้คนไทยในสายตาโลก "เป็นคนใจดี...มีน้ำใจ..เข้ากับคนรอบข้างได้ง่าย"

ทำให้คนทั่วโลกที่มาเมืองไทยขนานนามว่า "สยามเมืองยิ้ม" เมืองแห่ง "คนใจดี"

(จะมาเล่าต่อ...เมื่อเวลาเหมาะสม)