คราวที่แล้ว.....เป็นการเพิ่งที่จะเริ่มหัดเล่น "สเก็ตน้ำแข็ง" วันนี้จึงเป็นเป็นวัน "ฝึก" หรือ "ทบทวน" การเล่นสเก็ตอีกครั้งหนึ่ง
ห่างเหินไปก็หลายเดิน เพราะบ้านเราไม่อยู่ใกล้สถานที่เล่นน้ำแข็ง ต้องอาศัยช่วงเวลาที่จะต้องเข้ากรุงเทพฯ หลังจากนั้นจึงแวะเข้ามาเล่นสเก็ตน้ำแข็งตามโอกาสเหมาะสมเพื่อ "กันลืม"
มาคราวนี้ "ดีขึ้นมาก" สำหรับการเล่นสเก็ตน้ำแข็ง คงเป็นความ "คุ้นเคย" กับการเล่นบนน้ำแข็งซะแล้ว
ครั้งนี้เป็นวันแม่คือวันที่ 12 สิงหาคม 2555 ดังนั้น..บุคคลใดที่เป็นแม่จึงเข้า "ฟรี" ไม่ต้องเสียซักอัต วันนั้นผู้คนไม่เยอะนัก
ลานเล่นสเก็ตก็กว้างจึงทำให้เราดู "เวิ้งว้าง" สนามแข่งนี้ทีมที่เล่นสเก็ตเก่ง ๆ จะมาฝึกซ้อมกันที่นี่ เนื่องจากว่า..สนามกว้างทำให้การฝึกซ้อมทำได้ง่าย
สำหรับคุณแม่ทั้งสองคนนี้ "รอจังหวะ" ก่อน ให้เด็ก ๆ ลงสนามไปก่อน หรือว่ารอให้ร่างกายปรับตัวก่อนก็ไม่ทราบ เพราะว่า "ชั้นไขมันหนา"
แหม...กว่าไอความเย็นจะซึมผ่านไปถึงชั้นเนื้อได้ต้องใช้เวลานาน ฉะนั้น..ขอนั่งรอก่อนละกันนะ 555
การควบคุมจังหวะการเล่นเริ่มที่จะดีขึ้นเรื่อย ๆ และเร็ว เด็ก ๆ ทั้งสามคือ น้องนิ้ง ,น้องนนท์ ,น้องโย ดีขึ้นเรื่อย ๆ เรียกว่า..ลงสนามได้นิดก็ออกรอบได้เลยน่ะ
ส่วน "น้องญา" นั้นก็เล่นได้เร็วนะ ตอนนี้สามารถยืนและค่อย ๆ เดินได้ด้วยตัวเองได้แล้ว ครั้งแรก ๆ นั้นน้องญาก็มีหกล้มและคะมำบ้าง แต่เมื่อค่อย ๆ เรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ก็สามารถที่จะค่อย ๆ ขยับไปได้เรื่อย ๆ
สำหรับ "น้องโย" นั้น สามารถค่อย ๆ ปล่อยมือจากกำแพงได้แล้ว เนื่องจาก "ถูกแซว" เยอะจึงต้องพยายามหลุดพ้นจากการยืนเกาะกำแพงให้เร็วที่สุด
เมื่อความพยายามอยู่ที่ไหน..ความสำเร็จก็จะอยู่ที่นั่น จึงทำให้ออกมา "เดิน-เหิน" ได้ด้้วยตัวเอง
จะมีที่สำคัญ ๆ ที่ไม่ค่อยได้ออกรอบซักเท่าไรคือ "ลุงโต้ง" ,ป้าอ้อย ,อาติ๋ว นี่แหละคือปัญหาใหญ่
เริ่มจาก..ลุงโต้ง..ก่อนละกัน ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกละกันที่ได้ลงเล่นสเก็ตน้ำแข็ง เพราะไปครั้งก่อนนั้นก็ไม่ได้ลงเล่นเลย (ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศอย่างเดียว)
มาครั้งนี้จึงต้องลงเล่นเองบ้าง ตอนลงไปเล่นนั้น โอ้โฮ...มัน "ลื่น" แฮะ เกือบหัวทิ่มแน่ะ ดังนั้น..ตัวกระผมเองจึงต้อง "เกาะ" ราวกำแพงไปเรื่อย ๆ ก่อน
มันไม่ใช่ของง่าย ๆ เลยนะ ขืนเชื่อตัวเองว่า "เราทำได้" มีหวัง "คอหัก" ตายบนฟูก (ไม่ใช่) เนื่องจากต้องมีทักษะในการควบคุม ถ้าประมาทอาจ "ตาย" หรืออุบัติเหตุรุนแรงเกิดขึ้นได้
ฉะนั้น...กระผมจึงต้องค่อย ๆ คืบคลานไปกับกำแพงหลายรอบด้วยกัน ครั้นเมื่อเดินเกาะกำแพงหลายรอบแล้ว บางครั้งลองปล่อยมือบ้างก็สามารถที่จะให้สเก็ตพาลื่นไถลได้ แต่ก็ยังควบคุมตัวเองไม่ได้
ตัวกระผมเองไม่เคยเล่นสเก็ตทุกชนิดมาก่อน จึงทำให้ไม่ค่อยกล้าที่จะปล่อยมือจากขอบกำแพง ผมจึงค่อย ๆ ที่จะเรียนรู้หลักการลื่นไถลด้วยตัวเองไปก่อน
"น้องนิ้ง" ขณะนี้เล่นได้เก่งแล้ว เนื่องจากสมัยเด็ก ๆ เคยหัดเล่นสเก็ตรองเท้าและสเก็ตบอร์ด เมื่อมาเล่นสเก็ตน้ำแข็งจึงใช้เวลาไม่มาก
เมื่อเราเล่นสเก็ตเพลิน ๆ ปกติคนเราเองก็ "ใจร้อน" อยากจะทำให้เร็วกว่าเดิม ฉะนั้น...ก็มีบางครั้งที่ "พลาด"
นั่นจึงทำให้น้องนิ้ง "ก้นจ้ำเบ้า" หรือ "ก้นกระแทก" กับลานน้ำแข็ง ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนไปทั้งตึกของลานเล่นสเก็ต
"น้องนนท์" ก็เช่นกันกับน้องนิ้ง เคยใช้สเำก็ตรองเท้าและสเก็ต บอร์ดด้วยกัน ซึ่งทั้งสองคนก็ผลัดกันเล่นสเก็ตคนละอย่าง เมื่อเบื่อสิ่งใดก็เปลี่ยนกันเล่นอุปกรณ์อีกอัน
ทำให้ทั้งสองคนนี้ "คล่อง" กับอุปกรณ์ทั้งสองชนิด
คราวนี้มาดูด้าน "ป้าอ้อย" บ้างนี่ก็เพิ่งจะลงเล่นเป็นครั้งแรกเลยนะเนี๊ยะ แต่ก็สามารถที่จะเป็นได้เร็วกว่ากระผมอีก (สงสัยนั่งดูนานจัด..จึงจำได้)
ซึ่งแรก ๆ ก็ "เกาะ" กำแพงไปเหมือนกระผมนี่แหละ โอ๊ย...เกาะอยู่หลายรอบเหมือนกัน พอปล่อยมือได้บ้างทำเป็นมาสอนผม แหม๊ !!!!!
มาดู "ลีลา" ของเขาดูละกัน ประเภทเกาะขอบสนามนั้นก็เหมือนผมนั่นแหละครับ
ซึ่งใคร ๆ ก็เห็นเหมือนผมนั่นแหละ แต่พอปล่อยมือจากขอบกำแพงได้นิดนะ ทำเป็นสอนคนนั้นคนนี้
คราวนี้มาดู "อาติ๋ว" กันบ้าง ก็คนอื่น ๆ ลงเล่นหมดแล้ว ตัวเองจะนั่งอยู่คนเดียวก็ชักยังไง ๆ อยู่ คิดได้อย่างนั้นจึงต้องไปเบิกรองเท้ามาเล่นกับเขาบ้างสิ
นั่นเพราะถ้าไปญี่ปุ่นแล้วมีโอกาสได้เล่นหิมะจะเล่นกับเขาไม่เป็นน่ะดิ ซึ่งมันจะเสียโอกาสอันใหญ่หลวงเลยนะถ้าไม่ฝึกไว้
อีกอย่างก็เดินทางมาซะตั้งไกลจากระยองแล้ว และเมื่อมาถึงที่แล้วยังจะต้องนั่งนิ่งดูดายอยู่ได้อย่างไร (คงคิดอย่างนี้น่ะ)
รวมทั้งได้แรง "ยั่ว" จากคนรอบข้างว่า ...ลงมาซิ ๆ ...ไม่ลองก็ไม่รู้นะ ไม่เห็นเสียหายอะไร
เมื่อลงมาเล่นนะท่านนะ....5555 ดูกันเองละกันครับ กว่าจะเดินได้ครบรอบ "ฉี่..แทบราด" สงสัยจะกลัวจมน้ำแข็งมั๊ง...มันไม่จมหรอก..อาติ๋ว
ก็แหม...อาติ๋ว คนเราไม่ได้เป็นกันมาตั้งแต่เกิดเนาะ ก็ต้องฝึกหัดกันทั้งนั้นแหละ ทน ๆ เอาหน่อย เห็นมั้ย "น้องญา" ยังเริ่มเดินเองได้แล้ว ไม่งั้น.."อายลูก" นะ
ในใจคงจะคิดว่า นี่เราลงมาเล่นสเก็ตน้ำแข็งได้กี่ชั่วโมงแล้วนะทำไมมันนานจัง
คนเรานะ...เมื่อทำอะไรที่มันลำบากแล้ว ถึงแม้เวลาจะผ่านไปแค่นิดเดียวก็บอกว่านาน
แต่..ถ้าทำอะไรที่มันสนุกสนานหรือสบายแม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแล้วก็บอกว่า ...เร็วจังเนาะ...มันซะอย่างนี้คนเรา
โอ๊ย...อาติ๋ว..เอ๊ย...มันชั่งลำบากอะไรปานนั้นนะ ดูหน้าตาแล้วเหมืิอนกับนั่งรถไฟเหาะตีลังกาเลย กระผม..พามาลำบากหรือเปล่าเนี๊ยะ (ถามจริง)
ใจน่ะอยากจะ "เหินเวหา" ให้ดูนั่นแหละ แค่ปล่อยมือจากกำแพง "ก็จะล้มแล้ว"
เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเิดินทางกลับบ้านแล้ว เพราะเวลานั้นใกล้จะหนึ่งทุ่มแล้ว จึงได้เลิกลาการเล่นสเก็ตน้ำแข็ง จุดหมายปลายทางที่จะไปต่อคือ "สนามบินสุวรรณภูมิ"
ไปทำอะไรครับ ....ไปดูเครื่องบิน บินขึ้นบินลง นั่นแหละก็เป็นความสุขอีกอย่างสำหรับ "คนบ้านนอก" อย่างเรา
ถึงแม้ว่า...เราจะมานั่งดูเครื่องบิน บินขึ้นบินลง ณ.บริเวณนี้หลายต่อหลายครั้งแล้วนะ ก็ไม่ทำให้เรานั้น "เบื่อ" ได้ กลับทำให้เรา "สนุกสนาน" และ "ตื่นเต้น" ซะด้วย
กลุ่มเรามีโอกาสได้ขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศหลายครั้ง การมานั่งดูเครื่องบิน บินขึ้นบินลงแบบนี้ทำให้เรารู้สึกดีใจแทบทุกครั้งเลย
เรานำอาหารมาร่วมรับประทานและดูเครื่องบิน บินขึ้นบินลงด้วย ทำให้กลุ่มเรา "เพลิดเพลิน" ยิ่งนัก มันเป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอจะหาได้กับสิ่งแวดล้อมรอบด้าน
เครื่องบิน..อาจเป็นสิ่ง "แปลก" และ "ตื่นเต้น" สำหรับเรา เนื่องจากความรู้ทางด้านเครื่องบินเป็นสิ่งที่ "ไกล" หรือ "เกินเอื้อม" สำหรับเรามาก
...แค่...พาหนะที่ใช้บนดินเราเองยังต้องซื้อเขาใช้ไม่เคยคิดจะสร้างใ้ช้เองเลย พอทำใช้เอง "คนของรัฐ" ก็บอกไม่ถูกหลักวิศวกรรม
แล้วคนไทยจะเกิดความคิดสร้างหรือประดิษฐ์อะไร ๆ ที่เป็น "กรรมสิทธิ์" ของคนไทยได้มั้ยเนี๊ยะ หรือทำอะไรที่ผิดจากผู้ผลิตทำออกมาขาย คนของรัฐ ก็บอกว่า "ดัดแปลง" แก้ไข คุณคือคน "ผิด" ถามจริงคนที่พูดน่ะ รู้เรื่องนั้น ๆ จริงหรือเปล่า หรือ "แค่" อยากได้ "เงิน" เข้ากระเป๋าเท่านั้น
ภาพนี้ "น้องโย" เขามีความสุขมากกับการได้มาชมเครื่องบินที่สนามบินสุวรรณภูมิอีกครั้งหนึ่ง มันยังเป็นความทรงจำที่ไม่รู้ลืมของหลาย ๆ คนในครอบครัวเรา
แม้..บางครั้งเด็ก ๆ ผู้หญิงฝันอยากที่จะเป็น "แอร์โฮสเต็ท" หรือเด็กผู้ชายฝันอยากจะเป็น "สต๊วจ" หรือคนขับเครื่องบินซะด้วย กระผมก็แนะนำว่า ต้องเรียนเก่ง ๆ และรู้ภาษาอังกฤษและภาษาอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วยจะเป็นการดี
.....ชมภาพชุดที่สวย ๆ ตามนี้ครับ....
คราวหน้าต้องเก่งกว่านี้นะจ๊ะ
จาก...กระดิ่งทอง
ห่างเหินไปก็หลายเดิน เพราะบ้านเราไม่อยู่ใกล้สถานที่เล่นน้ำแข็ง ต้องอาศัยช่วงเวลาที่จะต้องเข้ากรุงเทพฯ หลังจากนั้นจึงแวะเข้ามาเล่นสเก็ตน้ำแข็งตามโอกาสเหมาะสมเพื่อ "กันลืม"
มาคราวนี้ "ดีขึ้นมาก" สำหรับการเล่นสเก็ตน้ำแข็ง คงเป็นความ "คุ้นเคย" กับการเล่นบนน้ำแข็งซะแล้ว
ครั้งนี้เป็นวันแม่คือวันที่ 12 สิงหาคม 2555 ดังนั้น..บุคคลใดที่เป็นแม่จึงเข้า "ฟรี" ไม่ต้องเสียซักอัต วันนั้นผู้คนไม่เยอะนัก
ลานเล่นสเก็ตก็กว้างจึงทำให้เราดู "เวิ้งว้าง" สนามแข่งนี้ทีมที่เล่นสเก็ตเก่ง ๆ จะมาฝึกซ้อมกันที่นี่ เนื่องจากว่า..สนามกว้างทำให้การฝึกซ้อมทำได้ง่าย
สำหรับคุณแม่ทั้งสองคนนี้ "รอจังหวะ" ก่อน ให้เด็ก ๆ ลงสนามไปก่อน หรือว่ารอให้ร่างกายปรับตัวก่อนก็ไม่ทราบ เพราะว่า "ชั้นไขมันหนา"
แหม...กว่าไอความเย็นจะซึมผ่านไปถึงชั้นเนื้อได้ต้องใช้เวลานาน ฉะนั้น..ขอนั่งรอก่อนละกันนะ 555
การควบคุมจังหวะการเล่นเริ่มที่จะดีขึ้นเรื่อย ๆ และเร็ว เด็ก ๆ ทั้งสามคือ น้องนิ้ง ,น้องนนท์ ,น้องโย ดีขึ้นเรื่อย ๆ เรียกว่า..ลงสนามได้นิดก็ออกรอบได้เลยน่ะ
ส่วน "น้องญา" นั้นก็เล่นได้เร็วนะ ตอนนี้สามารถยืนและค่อย ๆ เดินได้ด้วยตัวเองได้แล้ว ครั้งแรก ๆ นั้นน้องญาก็มีหกล้มและคะมำบ้าง แต่เมื่อค่อย ๆ เรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ก็สามารถที่จะค่อย ๆ ขยับไปได้เรื่อย ๆ
สำหรับ "น้องโย" นั้น สามารถค่อย ๆ ปล่อยมือจากกำแพงได้แล้ว เนื่องจาก "ถูกแซว" เยอะจึงต้องพยายามหลุดพ้นจากการยืนเกาะกำแพงให้เร็วที่สุด
เมื่อความพยายามอยู่ที่ไหน..ความสำเร็จก็จะอยู่ที่นั่น จึงทำให้ออกมา "เดิน-เหิน" ได้ด้้วยตัวเอง
จะมีที่สำคัญ ๆ ที่ไม่ค่อยได้ออกรอบซักเท่าไรคือ "ลุงโต้ง" ,ป้าอ้อย ,อาติ๋ว นี่แหละคือปัญหาใหญ่
เริ่มจาก..ลุงโต้ง..ก่อนละกัน ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกละกันที่ได้ลงเล่นสเก็ตน้ำแข็ง เพราะไปครั้งก่อนนั้นก็ไม่ได้ลงเล่นเลย (ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศอย่างเดียว)
มาครั้งนี้จึงต้องลงเล่นเองบ้าง ตอนลงไปเล่นนั้น โอ้โฮ...มัน "ลื่น" แฮะ เกือบหัวทิ่มแน่ะ ดังนั้น..ตัวกระผมเองจึงต้อง "เกาะ" ราวกำแพงไปเรื่อย ๆ ก่อน
มันไม่ใช่ของง่าย ๆ เลยนะ ขืนเชื่อตัวเองว่า "เราทำได้" มีหวัง "คอหัก" ตายบนฟูก (ไม่ใช่) เนื่องจากต้องมีทักษะในการควบคุม ถ้าประมาทอาจ "ตาย" หรืออุบัติเหตุรุนแรงเกิดขึ้นได้
ฉะนั้น...กระผมจึงต้องค่อย ๆ คืบคลานไปกับกำแพงหลายรอบด้วยกัน ครั้นเมื่อเดินเกาะกำแพงหลายรอบแล้ว บางครั้งลองปล่อยมือบ้างก็สามารถที่จะให้สเก็ตพาลื่นไถลได้ แต่ก็ยังควบคุมตัวเองไม่ได้
ตัวกระผมเองไม่เคยเล่นสเก็ตทุกชนิดมาก่อน จึงทำให้ไม่ค่อยกล้าที่จะปล่อยมือจากขอบกำแพง ผมจึงค่อย ๆ ที่จะเรียนรู้หลักการลื่นไถลด้วยตัวเองไปก่อน
สำหรับสถานที่แห่งนี้มีครูฝึกรับจ้างสอนด้วยนะ แต่กระผมเองยังไม่ต้องการใช้บริการในตอนนี้
"น้องนิ้ง" ขณะนี้เล่นได้เก่งแล้ว เนื่องจากสมัยเด็ก ๆ เคยหัดเล่นสเก็ตรองเท้าและสเก็ตบอร์ด เมื่อมาเล่นสเก็ตน้ำแข็งจึงใช้เวลาไม่มาก
ที่จะหัดใช้คือการ "หยุด" ว่าต้องทำอย่างไร เพราะการหยุดจะไม่เหมือนกับสเก็ตรองเท้าและสเก็ตบอร์ด
เมื่อเราเล่นสเก็ตเพลิน ๆ ปกติคนเราเองก็ "ใจร้อน" อยากจะทำให้เร็วกว่าเดิม ฉะนั้น...ก็มีบางครั้งที่ "พลาด"
นั่นจึงทำให้น้องนิ้ง "ก้นจ้ำเบ้า" หรือ "ก้นกระแทก" กับลานน้ำแข็ง ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนไปทั้งตึกของลานเล่นสเก็ต
"น้องนนท์" ก็เช่นกันกับน้องนิ้ง เคยใช้สเำก็ตรองเท้าและสเก็ต บอร์ดด้วยกัน ซึ่งทั้งสองคนก็ผลัดกันเล่นสเก็ตคนละอย่าง เมื่อเบื่อสิ่งใดก็เปลี่ยนกันเล่นอุปกรณ์อีกอัน
ทำให้ทั้งสองคนนี้ "คล่อง" กับอุปกรณ์ทั้งสองชนิด
เมื่อ "น้องนนท์" ได้มาเล่นสเก็ตน้ำแข็งจึงใช้เวลาไม่นานก็ "บินเดี่ยว" ได้พร้อม ๆ กับน้องนิ้ง การเล่นสเก็ตน้ำแข็งนั้น "เหนื่อย" ไม่น้อยเลยนะ ต้องใช้กำลังเยอะที่จะบังคับตัวเอง ทำให้มี "เหงื่อ" ออกเต็มตัวเช่นกัน ทั้ง ๆ ที่ลานน้ำแข็งนั้นก็เย็นมาก
สำหรับ "คุณแม่" ทั้งสองคนนี้ นั่งรอให้ลูก ๆ เล่นกันไปพักใหญ่มากเลยล่ะ จนกระผมต้องบอกว่า...ให้มาถ่ายรูปบ้างดีฝ่า..
นั่งนานมันไม่ดี และอากาศก็หนาวซะด้วยสิ และแล้วคุณแม่ทั้งสองจึงลุกขึ้นมาถ่ายภาพไว้รูปสองรูป แต่เมื่อถ่ายภาพเสร็จก็กลับไปนั่งเหมือนเดิม
จึงทำให้รูปร่าง "เพรียว" เป็นอย่างที่เห็นนี่ไง เพราะว่าออกกำลังกายมาก
สำหรับ "คุณแม่" ทั้งสองคนนี้ นั่งรอให้ลูก ๆ เล่นกันไปพักใหญ่มากเลยล่ะ จนกระผมต้องบอกว่า...ให้มาถ่ายรูปบ้างดีฝ่า..
นั่งนานมันไม่ดี และอากาศก็หนาวซะด้วยสิ และแล้วคุณแม่ทั้งสองจึงลุกขึ้นมาถ่ายภาพไว้รูปสองรูป แต่เมื่อถ่ายภาพเสร็จก็กลับไปนั่งเหมือนเดิม
จึงทำให้รูปร่าง "เพรียว" เป็นอย่างที่เห็นนี่ไง เพราะว่าออกกำลังกายมาก
คราวนี้มาดูด้าน "ป้าอ้อย" บ้างนี่ก็เพิ่งจะลงเล่นเป็นครั้งแรกเลยนะเนี๊ยะ แต่ก็สามารถที่จะเป็นได้เร็วกว่ากระผมอีก (สงสัยนั่งดูนานจัด..จึงจำได้)
ซึ่งแรก ๆ ก็ "เกาะ" กำแพงไปเหมือนกระผมนี่แหละ โอ๊ย...เกาะอยู่หลายรอบเหมือนกัน พอปล่อยมือได้บ้างทำเป็นมาสอนผม แหม๊ !!!!!
มาดู "ลีลา" ของเขาดูละกัน ประเภทเกาะขอบสนามนั้นก็เหมือนผมนั่นแหละครับ
ซึ่งใคร ๆ ก็เห็นเหมือนผมนั่นแหละ แต่พอปล่อยมือจากขอบกำแพงได้นิดนะ ทำเป็นสอนคนนั้นคนนี้
คราวนี้มาดู "อาติ๋ว" กันบ้าง ก็คนอื่น ๆ ลงเล่นหมดแล้ว ตัวเองจะนั่งอยู่คนเดียวก็ชักยังไง ๆ อยู่ คิดได้อย่างนั้นจึงต้องไปเบิกรองเท้ามาเล่นกับเขาบ้างสิ
นั่นเพราะถ้าไปญี่ปุ่นแล้วมีโอกาสได้เล่นหิมะจะเล่นกับเขาไม่เป็นน่ะดิ ซึ่งมันจะเสียโอกาสอันใหญ่หลวงเลยนะถ้าไม่ฝึกไว้
อายลูก ๆ อีกด้วยนะ แล้วจะเป็นเรื่องเล่าจากรุ่นสู่รุ่นนะถ้าไม่กล้าลงเล่นสเก็ตน้ำแข็ง มันไม่จมน้ำแข็งหรอก ไม่ใช่น้ำนะ...
อีกอย่างก็เดินทางมาซะตั้งไกลจากระยองแล้ว และเมื่อมาถึงที่แล้วยังจะต้องนั่งนิ่งดูดายอยู่ได้อย่างไร (คงคิดอย่างนี้น่ะ)
รวมทั้งได้แรง "ยั่ว" จากคนรอบข้างว่า ...ลงมาซิ ๆ ...ไม่ลองก็ไม่รู้นะ ไม่เห็นเสียหายอะไร
เมื่อลงมาเล่นนะท่านนะ....5555 ดูกันเองละกันครับ กว่าจะเดินได้ครบรอบ "ฉี่..แทบราด" สงสัยจะกลัวจมน้ำแข็งมั๊ง...มันไม่จมหรอก..อาติ๋ว
ดูที่ใบหน้าหนูสิค่ะ....เหงื่อตกแล้วค่ะ โอ๊ย !!!! ทำไมมันยากเย็นเข็นใจซะจัง กว่าจะเดินได้ 1 รอบเนี๊ยะเกือบครึ่งชั่วโมงเลยนะ
ก็แหม...อาติ๋ว คนเราไม่ได้เป็นกันมาตั้งแต่เกิดเนาะ ก็ต้องฝึกหัดกันทั้งนั้นแหละ ทน ๆ เอาหน่อย เห็นมั้ย "น้องญา" ยังเริ่มเดินเองได้แล้ว ไม่งั้น.."อายลูก" นะ
ในใจคงจะคิดว่า นี่เราลงมาเล่นสเก็ตน้ำแข็งได้กี่ชั่วโมงแล้วนะทำไมมันนานจัง
หรือว่าเราลงมาเล่นสเก็ตน้ำแข็งนี้คงจะ 3 ชั่วโมงติดแล้วมั้ง แต่...ที่ไหนได้ ยังไม่ถึง 10 นาทีเลย
คนเรานะ...เมื่อทำอะไรที่มันลำบากแล้ว ถึงแม้เวลาจะผ่านไปแค่นิดเดียวก็บอกว่านาน
แต่..ถ้าทำอะไรที่มันสนุกสนานหรือสบายแม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแล้วก็บอกว่า ...เร็วจังเนาะ...มันซะอย่างนี้คนเรา
โอ๊ย...อาติ๋ว..เอ๊ย...มันชั่งลำบากอะไรปานนั้นนะ ดูหน้าตาแล้วเหมืิอนกับนั่งรถไฟเหาะตีลังกาเลย กระผม..พามาลำบากหรือเปล่าเนี๊ยะ (ถามจริง)
ผิดกับเด็ก ๆ นะ...เขาสนุกสนานกันได้เต็มที่โดยไม่มีการหกล้มเลย แต่ผู้ใหญ่อย่างเรามัวแต่คอยเกาะกำแพงไปเรื่อย ๆ
ใจน่ะอยากจะ "เหินเวหา" ให้ดูนั่นแหละ แค่ปล่อยมือจากกำแพง "ก็จะล้มแล้ว"
เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเิดินทางกลับบ้านแล้ว เพราะเวลานั้นใกล้จะหนึ่งทุ่มแล้ว จึงได้เลิกลาการเล่นสเก็ตน้ำแข็ง จุดหมายปลายทางที่จะไปต่อคือ "สนามบินสุวรรณภูมิ"
ไปทำอะไรครับ ....ไปดูเครื่องบิน บินขึ้นบินลง นั่นแหละก็เป็นความสุขอีกอย่างสำหรับ "คนบ้านนอก" อย่างเรา
ถึงแม้ว่า...เราจะมานั่งดูเครื่องบิน บินขึ้นบินลง ณ.บริเวณนี้หลายต่อหลายครั้งแล้วนะ ก็ไม่ทำให้เรานั้น "เบื่อ" ได้ กลับทำให้เรา "สนุกสนาน" และ "ตื่นเต้น" ซะด้วย
กลุ่มเรามีโอกาสได้ขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศหลายครั้ง การมานั่งดูเครื่องบิน บินขึ้นบินลงแบบนี้ทำให้เรารู้สึกดีใจแทบทุกครั้งเลย
เรานำอาหารมาร่วมรับประทานและดูเครื่องบิน บินขึ้นบินลงด้วย ทำให้กลุ่มเรา "เพลิดเพลิน" ยิ่งนัก มันเป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอจะหาได้กับสิ่งแวดล้อมรอบด้าน
เครื่องบิน..อาจเป็นสิ่ง "แปลก" และ "ตื่นเต้น" สำหรับเรา เนื่องจากความรู้ทางด้านเครื่องบินเป็นสิ่งที่ "ไกล" หรือ "เกินเอื้อม" สำหรับเรามาก
...แค่...พาหนะที่ใช้บนดินเราเองยังต้องซื้อเขาใช้ไม่เคยคิดจะสร้างใ้ช้เองเลย พอทำใช้เอง "คนของรัฐ" ก็บอกไม่ถูกหลักวิศวกรรม
แล้วคนไทยจะเกิดความคิดสร้างหรือประดิษฐ์อะไร ๆ ที่เป็น "กรรมสิทธิ์" ของคนไทยได้มั้ยเนี๊ยะ หรือทำอะไรที่ผิดจากผู้ผลิตทำออกมาขาย คนของรัฐ ก็บอกว่า "ดัดแปลง" แก้ไข คุณคือคน "ผิด" ถามจริงคนที่พูดน่ะ รู้เรื่องนั้น ๆ จริงหรือเปล่า หรือ "แค่" อยากได้ "เงิน" เข้ากระเป๋าเท่านั้น
ภาพนี้ "น้องโย" เขามีความสุขมากกับการได้มาชมเครื่องบินที่สนามบินสุวรรณภูมิอีกครั้งหนึ่ง มันยังเป็นความทรงจำที่ไม่รู้ลืมของหลาย ๆ คนในครอบครัวเรา
แม้..บางครั้งเด็ก ๆ ผู้หญิงฝันอยากที่จะเป็น "แอร์โฮสเต็ท" หรือเด็กผู้ชายฝันอยากจะเป็น "สต๊วจ" หรือคนขับเครื่องบินซะด้วย กระผมก็แนะนำว่า ต้องเรียนเก่ง ๆ และรู้ภาษาอังกฤษและภาษาอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วยจะเป็นการดี
.....ชมภาพชุดที่สวย ๆ ตามนี้ครับ....
คราวหน้าต้องเก่งกว่านี้นะจ๊ะ
จาก...กระดิ่งทอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น