วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2556

ฝึกเล่น "สเก็ต" (2) สำโรงบางนา

คราวที่แล้ว.....เป็นการเพิ่งที่จะเริ่มหัดเล่น "สเก็ตน้ำแข็ง" วันนี้จึงเป็นเป็นวัน "ฝึก" หรือ "ทบทวน" การเล่นสเก็ตอีกครั้งหนึ่ง

ห่างเหินไปก็หลายเดิน เพราะบ้านเราไม่อยู่ใกล้สถานที่เล่นน้ำแข็ง  ต้องอาศัยช่วงเวลาที่จะต้องเข้ากรุงเทพฯ หลังจากนั้นจึงแวะเข้ามาเล่นสเก็ตน้ำแข็งตามโอกาสเหมาะสมเพื่อ "กันลืม"

มาคราวนี้ "ดีขึ้นมาก" สำหรับการเล่นสเก็ตน้ำแข็ง คงเป็นความ "คุ้นเคย" กับการเล่นบนน้ำแข็งซะแล้ว

ครั้งนี้เป็นวันแม่คือวันที่ 12 สิงหาคม 2555 ดังนั้น..บุคคลใดที่เป็นแม่จึงเข้า "ฟรี" ไม่ต้องเสียซักอัต วันนั้นผู้คนไม่เยอะนัก

ลานเล่นสเก็ตก็กว้างจึงทำให้เราดู "เวิ้งว้าง" สนามแข่งนี้ทีมที่เล่นสเก็ตเก่ง ๆ จะมาฝึกซ้อมกันที่นี่ เนื่องจากว่า..สนามกว้างทำให้การฝึกซ้อมทำได้ง่าย

สำหรับคุณแม่ทั้งสองคนนี้ "รอจังหวะ" ก่อน ให้เด็ก ๆ ลงสนามไปก่อน หรือว่ารอให้ร่างกายปรับตัวก่อนก็ไม่ทราบ เพราะว่า "ชั้นไขมันหนา"

แหม...กว่าไอความเย็นจะซึมผ่านไปถึงชั้นเนื้อได้ต้องใช้เวลานาน ฉะนั้น..ขอนั่งรอก่อนละกันนะ  555

การควบคุมจังหวะการเล่นเริ่มที่จะดีขึ้นเรื่อย ๆ และเร็ว เด็ก ๆ ทั้งสามคือ น้องนิ้ง ,น้องนนท์ ,น้องโย ดีขึ้นเรื่อย ๆ เรียกว่า..ลงสนามได้นิดก็ออกรอบได้เลยน่ะ

ส่วน "น้องญา" นั้นก็เล่นได้เร็วนะ ตอนนี้สามารถยืนและค่อย ๆ เดินได้ด้วยตัวเองได้แล้ว  ครั้งแรก ๆ นั้นน้องญาก็มีหกล้มและคะมำบ้าง แต่เมื่อค่อย ๆ เรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ก็สามารถที่จะค่อย ๆ ขยับไปได้เรื่อย ๆ

สำหรับ "น้องโย" นั้น สามารถค่อย ๆ ปล่อยมือจากกำแพงได้แล้ว เนื่องจาก "ถูกแซว" เยอะจึงต้องพยายามหลุดพ้นจากการยืนเกาะกำแพงให้เร็วที่สุด 

เมื่อความพยายามอยู่ที่ไหน..ความสำเร็จก็จะอยู่ที่นั่น จึงทำให้ออกมา "เดิน-เหิน" ได้ด้้วยตัวเอง

จะมีที่สำคัญ ๆ ที่ไม่ค่อยได้ออกรอบซักเท่าไรคือ "ลุงโต้ง" ,ป้าอ้อย ,อาติ๋ว  นี่แหละคือปัญหาใหญ่

เริ่มจาก..ลุงโต้ง..ก่อนละกัน ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกละกันที่ได้ลงเล่นสเก็ตน้ำแข็ง เพราะไปครั้งก่อนนั้นก็ไม่ได้ลงเล่นเลย (ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศอย่างเดียว)

มาครั้งนี้จึงต้องลงเล่นเองบ้าง ตอนลงไปเล่นนั้น โอ้โฮ...มัน "ลื่น" แฮะ เกือบหัวทิ่มแน่ะ ดังนั้น..ตัวกระผมเองจึงต้อง "เกาะ" ราวกำแพงไปเรื่อย ๆ ก่อน

มันไม่ใช่ของง่าย ๆ เลยนะ ขืนเชื่อตัวเองว่า "เราทำได้" มีหวัง "คอหัก" ตายบนฟูก (ไม่ใช่) เนื่องจากต้องมีทักษะในการควบคุม ถ้าประมาทอาจ "ตาย"  หรืออุบัติเหตุรุนแรงเกิดขึ้นได้

ฉะนั้น...กระผมจึงต้องค่อย ๆ คืบคลานไปกับกำแพงหลายรอบด้วยกัน ครั้นเมื่อเดินเกาะกำแพงหลายรอบแล้ว บางครั้งลองปล่อยมือบ้างก็สามารถที่จะให้สเก็ตพาลื่นไถลได้ แต่ก็ยังควบคุมตัวเองไม่ได้

ตัวกระผมเองไม่เคยเล่นสเก็ตทุกชนิดมาก่อน จึงทำให้ไม่ค่อยกล้าที่จะปล่อยมือจากขอบกำแพง ผมจึงค่อย ๆ ที่จะเรียนรู้หลักการลื่นไถลด้วยตัวเองไปก่อน 
 
สำหรับสถานที่แห่งนี้มีครูฝึกรับจ้างสอนด้วยนะ แต่กระผมเองยังไม่ต้องการใช้บริการในตอนนี้

"น้องนิ้ง" ขณะนี้เล่นได้เก่งแล้ว เนื่องจากสมัยเด็ก ๆ เคยหัดเล่นสเก็ตรองเท้าและสเก็ตบอร์ด เมื่อมาเล่นสเก็ตน้ำแข็งจึงใช้เวลาไม่มาก 

ที่จะหัดใช้คือการ "หยุด" ว่าต้องทำอย่างไร เพราะการหยุดจะไม่เหมือนกับสเก็ตรองเท้าและสเก็ตบอร์ด

เมื่อเราเล่นสเก็ตเพลิน ๆ ปกติคนเราเองก็ "ใจร้อน" อยากจะทำให้เร็วกว่าเดิม ฉะนั้น...ก็มีบางครั้งที่ "พลาด" 

นั่นจึงทำให้น้องนิ้ง "ก้นจ้ำเบ้า" หรือ "ก้นกระแทก" กับลานน้ำแข็ง ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนไปทั้งตึกของลานเล่นสเก็ต

 "น้องนนท์" ก็เช่นกันกับน้องนิ้ง   เคยใช้สเำก็ตรองเท้าและสเก็ต บอร์ดด้วยกัน ซึ่งทั้งสองคนก็ผลัดกันเล่นสเก็ตคนละอย่าง เมื่อเบื่อสิ่งใดก็เปลี่ยนกันเล่นอุปกรณ์อีกอัน

ทำให้ทั้งสองคนนี้ "คล่อง" กับอุปกรณ์ทั้งสองชนิด

เมื่อ "น้องนนท์" ได้มาเล่นสเก็ตน้ำแข็งจึงใช้เวลาไม่นานก็ "บินเดี่ยว" ได้พร้อม ๆ กับน้องนิ้ง การเล่นสเก็ตน้ำแข็งนั้น "เหนื่อย" ไม่น้อยเลยนะ ต้องใช้กำลังเยอะที่จะบังคับตัวเอง ทำให้มี "เหงื่อ" ออกเต็มตัวเช่นกัน ทั้ง ๆ ที่ลานน้ำแข็งนั้นก็เย็นมาก


สำหรับ "คุณแม่" ทั้งสองคนนี้ นั่งรอให้ลูก ๆ เล่นกันไปพักใหญ่มากเลยล่ะ จนกระผมต้องบอกว่า...ให้มาถ่ายรูปบ้างดีฝ่า.. 

นั่งนานมันไม่ดี และอากาศก็หนาวซะด้วยสิ และแล้วคุณแม่ทั้งสองจึงลุกขึ้นมาถ่ายภาพไว้รูปสองรูป แต่เมื่อถ่ายภาพเสร็จก็กลับไปนั่งเหมือนเดิม

จึงทำให้รูปร่าง "เพรียว" เป็นอย่างที่เห็นนี่ไง เพราะว่าออกกำลังกายมาก
 

คราวนี้มาดูด้าน "ป้าอ้อย" บ้างนี่ก็เพิ่งจะลงเล่นเป็นครั้งแรกเลยนะเนี๊ยะ แต่ก็สามารถที่จะเป็นได้เร็วกว่ากระผมอีก (สงสัยนั่งดูนานจัด..จึงจำได้) 

ซึ่งแรก ๆ ก็ "เกาะ" กำแพงไปเหมือนกระผมนี่แหละ โอ๊ย...เกาะอยู่หลายรอบเหมือนกัน พอปล่อยมือได้บ้างทำเป็นมาสอนผม  แหม๊ !!!!!

มาดู "ลีลา" ของเขาดูละกัน ประเภทเกาะขอบสนามนั้นก็เหมือนผมนั่นแหละครับ

ซึ่งใคร ๆ ก็เห็นเหมือนผมนั่นแหละ แต่พอปล่อยมือจากขอบกำแพงได้นิดนะ  ทำเป็นสอนคนนั้นคนนี้

คราวนี้มาดู "อาติ๋ว" กันบ้าง ก็คนอื่น ๆ ลงเล่นหมดแล้ว ตัวเองจะนั่งอยู่คนเดียวก็ชักยังไง ๆ อยู่ คิดได้อย่างนั้นจึงต้องไปเบิกรองเท้ามาเล่นกับเขาบ้างสิ

นั่นเพราะถ้าไปญี่ปุ่นแล้วมีโอกาสได้เล่นหิมะจะเล่นกับเขาไม่เป็นน่ะดิ ซึ่งมันจะเสียโอกาสอันใหญ่หลวงเลยนะถ้าไม่ฝึกไว้ 

อายลูก ๆ อีกด้วยนะ แล้วจะเป็นเรื่องเล่าจากรุ่นสู่รุ่นนะถ้าไม่กล้าลงเล่นสเก็ตน้ำแข็ง มันไม่จมน้ำแข็งหรอก ไม่ใช่น้ำนะ...

อีกอย่างก็เดินทางมาซะตั้งไกลจากระยองแล้ว และเมื่อมาถึงที่แล้วยังจะต้องนั่งนิ่งดูดายอยู่ได้อย่างไร (คงคิดอย่างนี้น่ะ)

รวมทั้งได้แรง "ยั่ว" จากคนรอบข้างว่า ...ลงมาซิ ๆ ...ไม่ลองก็ไม่รู้นะ ไม่เห็นเสียหายอะไร



เมื่อลงมาเล่นนะท่านนะ....5555 ดูกันเองละกันครับ กว่าจะเดินได้ครบรอบ "ฉี่..แทบราด"  สงสัยจะกลัวจมน้ำแข็งมั๊ง...มันไม่จมหรอก..อาติ๋ว

ดูที่ใบหน้าหนูสิค่ะ....เหงื่อตกแล้วค่ะ  โอ๊ย !!!! ทำไมมันยากเย็นเข็นใจซะจัง  กว่าจะเดินได้ 1 รอบเนี๊ยะเกือบครึ่งชั่วโมงเลยนะ

ก็แหม...อาติ๋ว  คนเราไม่ได้เป็นกันมาตั้งแต่เกิดเนาะ ก็ต้องฝึกหัดกันทั้งนั้นแหละ ทน ๆ เอาหน่อย  เห็นมั้ย "น้องญา" ยังเริ่มเดินเองได้แล้ว  ไม่งั้น.."อายลูก" นะ



ในใจคงจะคิดว่า นี่เราลงมาเล่นสเก็ตน้ำแข็งได้กี่ชั่วโมงแล้วนะทำไมมันนานจัง

หรือว่าเราลงมาเล่นสเก็ตน้ำแข็งนี้คงจะ 3 ชั่วโมงติดแล้วมั้ง  แต่...ที่ไหนได้ ยังไม่ถึง 10 นาทีเลย 

คนเรานะ...เมื่อทำอะไรที่มันลำบากแล้ว ถึงแม้เวลาจะผ่านไปแค่นิดเดียวก็บอกว่านาน 

แต่..ถ้าทำอะไรที่มันสนุกสนานหรือสบายแม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแล้วก็บอกว่า ...เร็วจังเนาะ...มันซะอย่างนี้คนเรา

โอ๊ย...อาติ๋ว..เอ๊ย...มันชั่งลำบากอะไรปานนั้นนะ  ดูหน้าตาแล้วเหมืิอนกับนั่งรถไฟเหาะตีลังกาเลย  กระผม..พามาลำบากหรือเปล่าเนี๊ยะ  (ถามจริง)

ผิดกับเด็ก ๆ นะ...เขาสนุกสนานกันได้เต็มที่โดยไม่มีการหกล้มเลย แต่ผู้ใหญ่อย่างเรามัวแต่คอยเกาะกำแพงไปเรื่อย ๆ 

ใจน่ะอยากจะ "เหินเวหา" ให้ดูนั่นแหละ แค่ปล่อยมือจากกำแพง "ก็จะล้มแล้ว"



เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเิดินทางกลับบ้านแล้ว เพราะเวลานั้นใกล้จะหนึ่งทุ่มแล้ว จึงได้เลิกลาการเล่นสเก็ตน้ำแข็ง จุดหมายปลายทางที่จะไปต่อคือ "สนามบินสุวรรณภูมิ" 


ไปทำอะไรครับ ....ไปดูเครื่องบิน บินขึ้นบินลง นั่นแหละก็เป็นความสุขอีกอย่างสำหรับ "คนบ้านนอก" อย่างเรา


ถึงแม้ว่า...เราจะมานั่งดูเครื่องบิน บินขึ้นบินลง ณ.บริเวณนี้หลายต่อหลายครั้งแล้วนะ ก็ไม่ทำให้เรานั้น "เบื่อ" ได้ กลับทำให้เรา "สนุกสนาน" และ "ตื่นเต้น" ซะด้วย


กลุ่มเรามีโอกาสได้ขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศหลายครั้ง การมานั่งดูเครื่องบิน บินขึ้นบินลงแบบนี้ทำให้เรารู้สึกดีใจแทบทุกครั้งเลย

เรานำอาหารมาร่วมรับประทานและดูเครื่องบิน บินขึ้นบินลงด้วย ทำให้กลุ่มเรา "เพลิดเพลิน" ยิ่งนัก มันเป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอจะหาได้กับสิ่งแวดล้อมรอบด้าน

เครื่องบิน..อาจเป็นสิ่ง "แปลก" และ "ตื่นเต้น" สำหรับเรา เนื่องจากความรู้ทางด้านเครื่องบินเป็นสิ่งที่ "ไกล" หรือ "เกินเอื้อม" สำหรับเรามาก

...แค่...พาหนะที่ใช้บนดินเราเองยังต้องซื้อเขาใช้ไม่เคยคิดจะสร้างใ้ช้เองเลย  พอทำใช้เอง "คนของรัฐ" ก็บอกไม่ถูกหลักวิศวกรรม

แล้วคนไทยจะเกิดความคิดสร้างหรือประดิษฐ์อะไร ๆ ที่เป็น "กรรมสิทธิ์" ของคนไทยได้มั้ยเนี๊ยะ  หรือทำอะไรที่ผิดจากผู้ผลิตทำออกมาขาย คนของรัฐ ก็บอกว่า "ดัดแปลง" แก้ไข คุณคือคน "ผิด" ถามจริงคนที่พูดน่ะ รู้เรื่องนั้น ๆ จริงหรือเปล่า หรือ "แค่" อยากได้ "เงิน" เข้ากระเป๋าเท่านั้น


ภาพนี้ "น้องโย" เขามีความสุขมากกับการได้มาชมเครื่องบินที่สนามบินสุวรรณภูมิอีกครั้งหนึ่ง มันยังเป็นความทรงจำที่ไม่รู้ลืมของหลาย ๆ คนในครอบครัวเรา


แม้..บางครั้งเด็ก ๆ ผู้หญิงฝันอยากที่จะเป็น "แอร์โฮสเต็ท" หรือเด็กผู้ชายฝันอยากจะเป็น "สต๊วจ" หรือคนขับเครื่องบินซะด้วย กระผมก็แนะนำว่า ต้องเรียนเก่ง ๆ และรู้ภาษาอังกฤษและภาษาอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วยจะเป็นการดี

                                .....ชมภาพชุดที่สวย ๆ ตามนี้ครับ....

































                                 คราวหน้าต้องเก่งกว่านี้นะจ๊ะ

                               จาก...กระดิ่งทอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น