วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Stockholm Marathon 2013

การ "วิ่ง" เพื่อออกกำลังกายเป็นสิ่งหนึ่งที่ควรทำ ทั้งนี้เพื่อให้สุขภาพร่างกายของคนเราได้สร้างความกระปี้กระเปล่าให้กับตัวเอง

นำผลมาซึ่งสุขภาพที่แข็งแรง ไม่เจ็บไข้ "ออด ๆ แอด ๆ"   อีกสิ่งที่สำคัญคือทำให้ร่างกายได้สมดุล ร่างกายที่หุ่นงาม...ไม่ลงพุง...ยามที่อายุอานามมากขึ้น

คนที่ออกกำลังกายกับไม่ออกกำลังกายสุขภาพความแข็งแรงรวมทั้งความคล่องตัวจะไม่เหมือนกัน สิ่งนี้จะมองเห็นได้จากภายนอกร่างกายเป็นหลักที่ชัดเจนยิ่ง

การจัด "วิ่งมาราธอน" ของปีนี้จัดขึ้นตรงกับวันที่ 1 มิุถุนายน 2556 ที่กรุงสต๊อกโฮม ประเทศสวีเดน การจัดวิ่งครั้งนี้จัดเป็นครั้งที่ 35 แล้ว 

ระยะทางทั้งหมดคือ 42 กิโลเมตร นักวิ่งที่เข้ามาร่วมวิ่งสำหรับงานนี้จากทั่วโลกจำนวนที่ลงทะเบียนแล้ว 21,736 คน จาก 81 ประเทศ  

หนึ่งในนั้นเป็น "คนไทยคนเดียวที่เข้าไปร่วมแข่งขันสต๊อกโฮม มาราธอน" ปี 2013 นั่นคือ "คุณสุชาติ คัดถาวร" 

ท่านผู้นี้ตั้งใจที่จะเข้าไปร่วมงานใช้ระยะเวลาประมาณซักหนึ่งปีได้   ส่วนการฝึกซ้อมร่างกายนั้นซุ่มเก็บตัวได้ 4 ปีแล้วเน้อ  

ฉะนั้น..ความแข็งแรงของร่างกายก็จะถึงขึ้นแข็งแรงมากแล้วล่ะ  ถึงแม้จะไม่ได้ถูกทดสอบความแข็งแรงด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์การกีฬาใดๆ 

ส้นทางการใช้แข่งขันวิ่งของปีนี้ (2556) ก็ยังคล้ายเดิม เป็นเส้นทางที่วิ่งรอบเมืองรอบใหญ่ ดูามเส้นทางแล้วถือว่าสวยงามและลงตัวมาก 

การจัดแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ประจำประเทศ และถือเป็นรายการสำคัญอีกรายการหนึ่งของโลก ทำให้จำนวนนักวิ่งมีมาก การวิ่งในเขตเมืองหนาวอาจจะทำให้ร่างกายระบายความร้อนได้เร็วกว่าการวิ่งในแถบเมืองร้อน

แต่สิ่งที่จะทำให้หนักใจก็คือ "อากาศที่เบาบาง" ของคนในแถบร้อนไม่ค่อยคุ้นเคยที่จะต้องหายใจให้ยาวขึ้นกว่าเดิมจึงจะทำให้รับอากาศเข้าไปได้เต็มปอดเท่าเดิม ถ้าหายใจไม่เต็มปอดเช่นที่เคยก็จะทำให้ "เหนื่อยเร็ว" กว่าปกติ

เรียกได้ว่า "เป็นตัวแทนประเทศไทย" เพียงคนเดียวที่เข้าไปร่วมงานวิ่งครั้งนี้ ซึ่งทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักกับหลาย ๆ ประเทศที่สมัครวิ่งร่วมกัน 

ถึงแม้งานหลักจะเป็นการไปวิ่งมาราธอน แต่ส่วนที่ได้เสริมคือการท่องเที่ยวในประเทศสวีเดน สำหรับประเทศสวีเดนมีสถานที่่ท่องเที่ยวหลายแห่งด้วยกัน

สำหรับวันที่คุณสุชาติจะเดินทางไปนั้นก็มีบุคลากรหลายท่านไปส่งที่สนามบินสุวรรณภูมิ ดังเช่น "ครอบครัวอยู่เย็น" คือ นาย..กระดิ่งทอง,คุณอ้อยใจ,น้องนนท์, น้องนิ้ง

ถึงแม้ครอบครัวอยู่เย็นจะไปสนามบินสุวรรณภูมิหลายครั้งมาก 

แต่..ไปสนามบินสุวรรณภูมิครั้งใดก็ยังตื่นเต้นทุก ๆ ครั้งเสมือนว่าจะเดินทางเองซะอย่างนั้น

และอีกครอบครัวหนึ่งคือ "คุณทอม" , "คุณนิด" ซึ่งคุณนิดได้นั่งเครื่องบินหลายต่อหลายครั้งแต่ดูฝั่งคุณทอมก็ไม่ค่อยจะตื่นเต้นที่จะนั่งเครื่องบินซะเท่าไร  

และไม่ค่อยสนใจไปท่องเที่ยวต่างประเทศอีกด้วย (คงจะไม่ชอบไปต่างประเทศจริง ๆ ) หรือว่า "กลัว" เครื่องบินตกหรือเปล่า

นับต่อจากที่ไปส่งคุณสุชาติเพียง 2 อาทิตย์ คุณนิดก็เดินทางไปท่องเที่ยวประเทศสิงคโปร์อีกรอบซะแล้ว ถ้าถามคุณทอมว่าสนใจไปท่องเที่ยวต่างประเทศบ้างมั๊ย  ....คุณทอมบอก....แบ๊ะ..แบ๊ะ

ครอบครัวของคุณสุชาตินั้นก็มี "คุณวิ" (ภรรยา), น้องวิว (ลูกสาว) ส่วน "น้องว่าน" นั้นไม่มาส่งคุณพ่อเลย (ไม่ทราบว่าติดละครช่องไหนอยู่หรือเปล่าจึงไม่มาส่งคุณพ่อเลย

ได้ยินแว่ว ๆ ว่า..คุณสุชาติจะเดินทางไปสืบสถานการณ์ก่อน อีกครั้งซักก่อนสิ้นปีจะพาครอบครัวไปท่องเที่ยวกันหมดเลย

มันต้องอย่างนั้นสิ...ถ้าอย่างนั้นนับจากนี้ไปก็อีกไม่กี่เดือนครอบครัว "คัดถาวร" ก็จะได้ไปท่องเที่ยวยุโรปนั้นคือประเทศสวีเดนกันทั้งครอบครัวอย่างแน่นอน

เมื่อไปถึงสนามบินซักเกือบจะสามทุ่มเราก็ได้พูดคุยทักทายและแนะนำอะไรๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อกันบ้างเล็กน้อย

 อากาศทางยุโรปนั้นก็เย็น ๆ ต้องใส่เสื้อกันหนาวตลอด ฉะนั้น..คุณสุชาติคงไม่นำผ้าขาวม้าไปนุ่งแน่นอน แต่..สามารถทำผ้าพันคอได้ ซึ่งก็จะเก๋ไก๋ไปอีกแบบ

ผมสังเกตุเป็นกระเป๋าเดินทางของคุณสุชาตินั้น "ปริ" เลย ไม่ทราบว่านำสิ่งของทั้งกินจริงและกินเล่นไปต่างประเทศด้วย

การเดินทางโดยนั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯไปถึงสวีเดนนั้นจะใช้เวลาประมาณ 11 ชั่วโมงโดยประมาณ 

ถ้าเป็นการเดินทางไกล ๆ ที่เป็นครั้งแรกเราจะตื่นเต้นซักมากกว่าเหนื่อย โดยออกเดินทางจากกรุงเทพฯตอนเที่ยงคือ เมื่อไปถึงสวีเดนก็จะเป็นช่วงเช้า ๆ ประมาณ 7 นาฬิกา

การไปส่งคุณสุชาติเดินทางไปต่างประเทศครั้งนี้ทำให้กลุ่มของเราได้มีโอกาสพบกันอีกครั้งหนึ่ง  โดยย้อนอดีตไปนานหลายเดือนแล้วที่ไม่ได้พบปะกัน  จึงทำให้เหล่าคุณ ๆ เธอ ๆ พูดคุยกันอยู่นานมาก...ต่างคนต่างเม้าท์กัีนไป
สังเกตุบรรยากาศวันนั้น มีผู้คนเดินทางไปที่สนามบินเยอะมาก อีกทั้งสถานที่จอดรถบางจุดก็หยุดซ่อมจึงไม่สามารถนำรถไปจอดได้ ทำให้การจราจรแออัด

ที่ผมสังเกตุอีกจุดหนึ่งคือ "ชาวอินเดีย" และ "ปากีสถาน" จะหอบหิ้วนำเอาโทรทัศน์ชนิด LCD , LED กลับบ้านด้วยแทบจะทุกคน

กระผมคงเข้าใจว่าโทรทัศน์บ้านเราถูกกว่าบ้านเขาแน่ ๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะหลาย ๆ ประเทศก็มีข้อเด่นและข้อด้อยอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว


ยืนคุยกันอยู่นานมาก เนื่องจากอยากจะอยู่เป็นเพื่อนกับคุณสุชาติให้นานที่สุด  เนื่องการเดินทางไปต่างประเทศคนเดียวก็ไม่รู้จะคุยกับใครได้บ้างถ้าเดินเข้าไปข้างในแล้ว

ดังนั้น...เราจึงได้บันทึกรูปภาพไว้หลายภาพด้วยเช่นกัน และรูปภาพที่อยากจะบันทึกไว้อีกจุดหนึ่งคือ ถ่ายภาพคู่กับ "ยักษ์" ที่เขาติดตั้งไว้ที่สนามบินนั่นเอง


สนามบินสุวรรณภูมิของประเทศไทยนั้นถือว่าเป็นสนามบินที่ใหญ่และสวยเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกเลยทีเดียว

โดยเฉลี่ยจะมีเครื่องบินที่บินขึ้นและบินลงที่สนามบินสุวรรณภูมินาทีละ 1 ลำ

ในระหว่างที่เรากำลังพูดคุยกันเพลิน ๆ นั้นก็มีเสียง "เจี๊ยว..จ๊าว" ขึ้นมาในล๊อกข้าง ๆ กระผมจึงหันไปดู วันรุ่นหญิงของเรากำลัง "กรี๊ด" ให้กับนักร้องเกาหลีอยู่ท่่านหนึ่ง

ซึ่งกระผมนึกชื่อไม่ออกว่าเป็นใคร แต่ดูไกล ๆ แล้วก็ทำให้รู้สึกว่าต้องเป็นนักร้องอย่างแน่นอน เนื่องจากการแต่งตัวของเขามันฟ้อง



อีกภาพหนึ่ง...เป็นภาพของครอบครัวคุณสุชาติเอง ดูภาพแล้วทำให้รู้สึกว่า "อบอุ่น" ยิ่ง
นัก ส่วนน้องวิว...ก็น่ารักเป็นที่สุด   ความซนนั้นก็พอ ๆ กับความน่ารักนั่นแหละ

นับเป็น "ประวัติศาสตร์" ให้กับตัวเองที่ได้เข้าไปร่วมวิ่งมาราธอนต่างประเทศ ซึ่งโอกาสแบบนี้หาไม่ได้ง่าย ๆ เลย เนื่องจากต้องเสียสละเงินส่วนหนึ่งที่จะต้องเดินทางไป รวมทั้งค่าอยู่ค่ากิน

เรื่องความรู้สึกที่เกิดขึ้นขณะที่กำลังไปร่วมงานนั้นซื้อ-ขายกันไม่ได้ มันเป็น "ความภูมิใจ" ลึก ๆ ที่อยู่ในใจ  แน่นอน...ไม่มีของฟรีในโลกนี้ มีแต่จะจ่ายมากจ่ายน้อยเท่าไร


เมื่อเริ่มใกล้จะถึงเวลาซักห้าทุ่มหรือก่อนเที่ยงคืน กลุ่มเราที่ไปส่งคุณสุชาติก็ต้องแยกย้ายกันกลับ เนื่องจากว่าคุณสุชาติต้องไปตรวจเอกสารผ่านเข้าไปภายในสนามบินอีกครั้ง

ซึ่งกลัวว่าถ้าเข้าไปช้าแล้วมีผู้คนเยอะ..อาจจะ..ทำให้ไม่ัทันเครื่องบิน  ดังนั้น..เราจึงแนะนำว่าให้เข้าไปข้างในก่อนดีกว่า

และยิ่งเป็นการเดินทางไปต่างประเทศคนเดียวอาจจะทำอะไรไม่ค่อยถูก....แล้วจะนำมาซึ่งการเสียเวลาต่อไป

ในระหว่างก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับนั้น ก็ให้คุณสุชาติเขียนเอกสารทั้งออกนอกราชอาณาจักรและตรวจคนเข้าเมือง

เนื่องจากข้อความบางตอนอาจจะอ่านแล้วไม่เข้าใจ ฉะนั้นจึงให้คนที่เคยไปแนะนำว่าต้องขีดเขียนอะไรบ้าง

ถ้าขีดบางข้อบางตอนไม่ถูกเจ้าหน้าที่อาจจะถามเยอะและต้องสำแดงอะไรที่เราขีดผิดไว้ มันจะทำให้เราต้องคุยกันนาน (จะมึนซะก่อน) 


ใกล้จะห้าทุ่ม..คุณสุชาติได้กรอกเอกสารเสร็จรีบร้อยพอดี ต่อไปก็ถึงเวลาที่ต้องแยกย้ายกันจริง ๆ ซะแล้ว  

แต่...เมื่อสังเกตุใบหน้าของคุณสุชาติแล้วคล้าย ๆ ลักษณะ "ดีใจ" มากไม่ทราบว่าดีใจด้วยเรื่องอะไร (มีอะไรแอบแฝงหรือไม่น้อ)


ไม่มีอะไรหรอกครับ  เป็นเพียงยินดีที่มีคนที่รู้จักมาส่งและเป็นเพื่อนเดินทางกลับของครอบครัวคุณสุชาติเท่่านั้น

สมาชิกของครอบครัวอยู่เย็นก็อวยพรให้คุณสุชาติเดินทางได้ตลอดปลอดภัย และขอให้สำเร็จในสิ่งที่อยากทำ การวิ่งมาราธอนระยะ 42 กิโลเมตรนั้นถือว่า "หิน" ยิ่งนัก

ถ้าร่างกายไม่พร้อมมากจริงๆ ถือว่าเป็นสิ่งที่อันตรายต่อร่างกายเป็นอย่างมาก ปัจจัยที่เอื้อต่อการวิ่งครั้งนี้คือ...อากาศเย็น ๆ และทิวทัศน์ที่เราไม่เคยเห็นจำทำให้เรา "ลืม" ความเหนื่อยขณะที่วิ่ง

เป้าหมายที่อยากให้คุณสุชาติสำเร็จคือ "เข้าเส้นชัย" เรื่องเวลาถือเป็นสิ่งรอง นั่นคือ "เป้าหมาย" ที่คุณสุชาติตั้งไว้

เนื่องจากโดยสถิติ การวิ่งมาราธอนคนที่ทำได้เร็วสุดเวลาจะอยู่ที่ 2 ชั่วโมงถ้วน ๆ เท่่าที่ผมสังเกตุดูคนที่ทำเวลาได้แถว ๆ นี้จะใช้เวลาสำหรับการวิ่งระยะ 100 เมตรลดลงไปครึ่งหนึ่ง

แต่...คนที่วิ่งระยะทาง 42 กิโลเมตรนั้นต้องทำความเร็วใกล้เคียงกันตลอดระยะทางและต้องใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง


ดังนั้น..กรณีของคุณสุชาติอาจต้องใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงสำหรับการวิ่งมาราธอนในครั้งนี้

จากนั้นจึงได้ร่ำลากัน คุณสุชาติจึงเดินทางเข้าไปภายในสนามบิน เป้าหมายคือเมือง..สต๊อกโฮม..ประเทศสวีเดน

ส่วนบุคคลที่ไปส่งคุณสุชาติเป้าหมายคือ ..บ้าน..ที่จังหวัดระยอง คืนนั้นเรากลับมาถึงบ้านประมาณ 1 นาฬิกา หรือ ตีหนึ่ง

เท่าที่กระผมสังเกตุตลอดการเดินทางกลับบ้าน มีรถยนต์วิ่งตลอดเส้นทาง ถึงแม้จะดึกดื่นเที่ยงคืนขนาดไหนก็ยังมีรถวิ่งบนท้องถนนอย่างไม่ขาดสาย 

เหตุที่ทำให้เป็นอย่างนั้นเนื่องมาจากแถบทวีปเอเซียกำลังเจริญเติบโตเป็นอย่างมาก  แหละบริเวณท่าเรือแหลมฉบังเป็นจุดที่ขนถ่ายสินค้าขนาดใหญ่ของประเทศไทย

จึงต้องขนส่งสินค้ามาที่แหลมฉบังเป็นหลักเพื่อทั้งการส่งสินค้าออกและนำเข้า ถนนที่กำลังขยายความกว้างสร้างเพื่อให้ความสะดวกกับรถที่แล่นมายังท่าเรือแหลมฉบัง

ดังนั้น..การขนส่งสิ่งของจึงต้องอาศัยรถยนต์และรถไฟเป็นพาหนะร่วมด้วย น่าแปลกที่ประเทศไทยผลิตรถให้กับประเทศอื่น ๆ จนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

....แต่....ประเทศไทยไม่มีสินค้าประเภทรถยนต์เป็นของตัวเอง (น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง)


                           .....ชมภาพที่แสนจะอบอุ่นคืนนั้น.....














                               ขอให้ทุก ๆ ท่านโชคดีและสุขภาพร่างกายแข็งแรง

                                             จาก .....กระดิ่งทอง