แหละแล้วก็ถึงวัน
"พระราชทานปริญญาบัตร" ป.โท ของ
มจพ. ซะแล้ว ล่วงเลยมากว่า 1 ปี หลังจากเรียนจบ สิ่งสำคัญคงอยากให้บัณฑิตได้เตรียมตัวสะสางสิ่งต่าง ๆ ให้หมดเรียบร้อยก่อน
ก็ไม่ใช่ว่าเรียนจบแล้วจะรับปริญญาบัตรได้เลย ต้องเว้นวรรคไว้ หรือ เข้าเกียร์ว่าง
ความตั้งใจอยากจะทราบว่า...การศึกษาระดับปริญญาโทนั้นเขาเรียนอะไรบ้าง ความคิดความอ่านเขาเป็นอย่างไร
ในใจนั้นก็คิดว่า ต้องมีอะไรที่ "พิเศษ" กว่าธรรมดาแน่ ๆ ล่ะ ไม่อย่างนั้นเขาจะทำอะไรที่พิเศษกว่าได้อย่างไร
ส่วนใหญ่จะเ็ป็นไปในแนวทางที่ดี มีเพียงส่วนน้อยที่ไม่ต่างจากบุคคลธรรมดาไม่มากนัก แต่ในองค์ความรู้ที่เขามีมาก ซักวันเมื่อเขาได้นำมาใช้ คนที่พบเห็นจะแปลกใจ
สองปีที่เข้าไปร่ำเรียนศึกษา สิ่งที่ได้เพิ่มจากการเรียนคือ "มิตรสัมพันธ์" หรือ Connection หลาย ๆ ท่านเป็นถึงผู้บริหารระดับสูงของบริษัทใหญ่ ๆ
ดังนั้น...ความคิดความอ่านของท่านก็จะมีมากกว่าเรา ซึ่งกระผมถือว่าท่าน
"เก่งมาก" อย่างเช่น
พี่โจ้,
พี่ชิน,
พี่ป๊อก
กระผม...ได้ขอความรู้จากท่านหลายครั้งหลายหน โดยจะพบกับความรู้ในสิ่งใหม่ในส่วนที่ไม่เคยสัมผัสรู้มากก่อนอยู่เสมอ
ความคิดความอ่านของคนที่มีประสบการณ์็เยอะทำให้กระผมสัมผัสได้
ค่ำคืนของวันที่ 25 มกราคม 2556 ลูก ๆ ทั้งสองคน คือ "น้องนิ้ง" และ "น้องนนท์" ก็ร่วมฉลองความเร็จของคุณพ่อด้วยการ "ร้องเพลงคาราโอเกะ"
เราสนุกสนานกันเป็นอย่างมาก ในความสำเร็จนั้นลูก ๆ ทั้งสองคนก็ "เป็นกำลังใจ" ให้แบบไม่รู้จบ พร้อมกันนั้นยังมี "ภรรยา" อีกคนที่คอยเป็นผู้ช่วยอยู่เนือง ๆ
กำลังใจนั้นสำคัญมาก ถึงแม้จะเป็นเวลาเพียง 2 ปี แต่..ก็เหมือนว่า "นาน" ยิ่งนัก งานบางอย่างก็ต้องให้ลูกช่วย
เพราะลูกจะได้ "เรียนรู้" ผ่านสายตาบ้าง นั่นเป็นการให้ลูกเรียนรู้ว่า การศึกษาระดับปริญญาโทเขาเรียนอะไรกันบ้าง และเขาเรียนเรื่องอะไร
น้องนนท์...ค่ำคืนนั้นร้องเพลงกันสุด ๆ แบบ "เต็มอัตรา" ดูได้จากหน้าตาที่เปล่งออกซึ่งความร่าเริงและเปี่ยมล้นซึ่งความสุข
น้ำเสียงที่ร้องของลูกทั้งสองนั้นถือว่าอยู่ในขั้น "ดี" เป็นการเรียนรู้จากนักร้องต้นฉบับ ทำให้ซุ่มเสียงจึงน่าฟังยิ่งนัก
แน่นอนว่า...การร้องเพลงให้เสียงดีนั้นเกิดขึ้นได้กับไม่ทุกคน เพราะบางคนร้องแบบคนฟังเบื่อ เพราะไม่เรียนรู้เองว่าการร้องเพลงให้ไพเราะนั้นต้องร้องแบบใด
ฉะนั้นอาจจะต้องเข้าไปหัดร้องในโรงเรียนสอนร้องเพลง ซึ่งนั่นก็คือจะต้อง "เสียสตางค์" ซึ่งไม่ถูกเลย แต่นี่ได้จากการเรียนรู้จากต้นฉบับ
ลีลาของลูก ๆ ทั้งสองรวมทั้งน้ำเสียงที่ไพเราะนั้น ทำให้เราฟังแล้ว "เพลิดเพลิน" ไปในเวลาเดียวกัน
วันนี้ถือว่าเรามีความสุขกันแบบ "เล็ก ๆ" ได้อีกวันหนึ่ง ความสุขของเราไม่ต้องจ่ายเงินเยอะ แต่ทำในสิ่งที่มีอยู่ให้ดีที่สุด
สิ่งที่ "คุณพ่อ" ได้แสดงให้ลูกทั้งสองเห็นนั้น ทำให้ลูก ๆ อยากที่จะเล่าเรียนให้จบการศึกษาสูง ๆ มากกว่าคุณพ่ออีกระดับหนึ่ง นั่นคือระดับ "ปริญญาเอก" นั่นเอง
น้่องนิ้ง..ถึงกับนำ "ชุดครุย" มาสวมใส่เพราะความหลง
ใหล ถึงแม้ "โบราณกาล" ห้ามนำชุดครุยมาใส่เล่นก่อนจบจริง เพราะนั่นจะทำให้เราไม่จบ
แต่เพื่อเป็นกำลังใจของลูก ๆ ....ลูกจะได้ตั้งใจเรียนและได้ใส่ชุดตามที่เจ้าหวัง
สิ่งนี้ทำให้น้องนิ้งรู้สถานการณ์ของตนเองว่าจะต้องเตรียมตัวอย่างไรที่ "จะต้องไปให้ถึงเป้าหมาย" หรือ "เป้าหมายมีไว้พุ่งชน" นั่นเอง
น้องนิ้ง...วางแผนไว้แล้วว่า จะเรียนด้าน "การเงิน" ที่ มหาวิทยาลัยโตเกียว หรือ มหาวิทยาลัยฮอกไกโด ซึ่งก็แล้วแต่โอกาสเหมาะสม
แหละการไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นระหว่างวันที่ 19-31 มีนาคม 2556 นั้นเราจะแวะไปชมสถานที่ที่น้องนิ้งจะต้องไปเรียนด้วยประจำปี
ทำไม...ถึงจะเรียนเรื่องการเงิน เนื่องจากคุณพ่อได้ศึกษาจากระดับปริญญาโทจากท่านอาจารย์ธรรมรัตน์ (ขวามือ) ซึ่งท่านอาจารย์ประสิทธิ์ประสาทวิชาเหล่านี้ให้ในวิชาที่เรียน
คุณพ่อจึงพิจารณาได้ว่า โลกนี้ต้องบริหารด้วยเงินทั้งนั้น และถ้าบริหารไม่ดี การดำรงค์ชีวิตก็จะลำบาก ถึงแม้ว่าจะหาเงินได้มากซักเท่าไร เมื่อบริหารเงินได้ไม่ดี เงินก็จะ "ร่อยหรอ" ลงไปเรื่อย ๆ
ท่านอาจารย์ธรรมรัตน์ อดีตท่านเป็นผู้จัดการธนาคารไทยพานิชย์สาขาหนึ่ง ปัจจุบันท่านสอนนักศึกษาระดับปริญญาโทและปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยพระนครเหนือและมหาวิทยาลัยอื่น ๆ อีก
ดึก ๆ หน่อย...น้องนนท์ก็ทดลองใส่ชุดว่า จะมีชุดใดที่ยังใส่ได้บ้าง เนื่องจาก "อ้วน" ขึ้นเยอะ ท้ายสุดก็ได้ชุดนี้แหละ พร้อมกับสูทตัวเดิม เพียงแต่คืินนั้นไม่ได้ลองใส่สูท
รุ่งเช้าของวันที่ 26 มกราคม 2556 เราออกเดินทางไปไบเทคบางนา ซึ่งวันนี้เป็น
"วันซ้อมจริง" อีกวันหนึ่งก่อนเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจริงในวันที่ 28 มกราคม 2556
ความรู้สึกลึก ๆ นั้น
"ตื่นเต้น" มาก เพราะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรกับพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารีกับพระหัตถ์ท่านโดยตรง
เมื่อมาถึง "ไบเทค บางนา" เราได้ขับรถผ่านด้านหน้าตึกของไบเทค บริเวณด้านจะมีจัดซุ้มเพื่อให้นักศึกษา "ถ่ายภาพ" ไว้หลายซุ้มด้วยกัน
เมื่อขับรถไปเรื่อย ๆ เราจึงนำรถเข้าไปจอดด้านในเลย เพราะเพื่อน ๆ มาก่อนเยอะมากเลย แต่เขาไ้ด้ปรับปรุงสถานที่จอดรถเพิ่มด้านใน
ซึ่งรับรถได้อีกเยอะมาก จึงทำให้ลูกค้าที่มาใช้บริการสะดวกขึ้นเยอะ เค้าคงปรับปรุงนานแล้วแหละ เพียงแต่เราไม่ค่อยได้ไปใช้บริการซักเท่าไร
ทำให้รถยนต์สามารถวิ่งออกด้านหลังได้ ยิ่งเพิ่มความสะดวกได้อีกเยอะ คงจะเป็นการรองรับผู้โดยสารที่มาจากรถไฟฟ้าด้วย ซึ่งก่อนนั้นจะออกได้เพียงด้านหน้าด้านเดียว
บริเวณหน้าตึกไบเทคจะเต็มไปด้วยญาติ ๆ ของบัณฑิตที่มาร่วมถ่ายภาพเนื่องในวันสำคัญเยอะมาก
ถ้าดูในภาพอาจ
จะเห็นว่ายังไม่เยอะเท่าไรนี่ แต่..มุมนี้กระผมถ่ายมาแบบไม่เต็ม
ผมเห็นญาติ ๆ บางท่านนำเสื่อแหละหมอนมานอนรอที่บริเวณลานจอดรถเลยทีเดียว ..โอล่ะพ่อ
แหละ..หลายกลุ่มก็มีนักศึกษารุ่นน้องมาให้กำลังใจส่งเสียงเชียร์กันลั่นสนั่น
หลังจากที่จอดรถแล้ว กลุ่มเราใช้เวลาที่ว่างนี้มาถ่ายรูปที่ซุ้มกัน เนื่องจากวันจริงนั้นคงไม่ได้ถ่ายรูปแน่ ๆ
เนื่องจากวันที่ 28 มกราคม 2556 ซึ่งเป็นวันรับพระราชทานปริญญาบัตรจริงนั้นเป็นวันจันทร์ ญาติ ๆ ก็ต้องทำงานกันน่ะสิ
ดังนั้น...
เราจึงถือโอกาสนี้ถ่ายภาพกันซะเลย
ด้วยวันที่ทุกคนต้อง
"เสียสละเวลา" มาร่วมแสดงความยินดีกับคนเพียงคนเดียว กระผมเอง
"ดีใจมาก" ซึ่งถ้าไม่มีคนเหล่านี้มาร่วมถ่ายภาพ กระผมคงเหมือนกับสำเร็จแต่เพียงผู้เดียว ไร้ญาติขาดมิตร
เริ่มแรกนั้น..กลุ่มญาติ ๆ ก็ถ่ายภาพกันเองไปก่อน เพราะ
"ซุ้ม" ซึ่งเป็นสถานที่ให้
"บัณฑิต" ถ่ายรูปนั้น
"คราคร่ำ" ไปด้วยบัณฑิตและญาติ ๆ ของบัณฑิตเอง
แน่นอนครับ...วันสำคัญเช่นนี้ญาติ ๆ ของบัณฑิตต้อง "มาร่วมยินดี" กับบัณฑิตอย่างมากมาย
มองไปทางไหน
"แดง" ไปหมด มันช่างสวยงามยิ่งนัก ผมสังเกตุดูที่ใบหน้าของญาติ ๆ ทุก ๆ คน ต่าง
"ปิติ" และ
"ยินดี" ที่ได้มาร่วมงานในครั้งนี้
ถึงแม้ญาติบางท่านจะเดินทางมาไกลแสนไกล แต่ก็ยังต้องมาร่วมงานในครั้งนี้กับบัณฑิตด้วย
เห็นซุ้มว่างหนึ่งซุ้ม กลุ่มเราไม่รีรอครับจึงเข้าไปประจำการบันทึกภาพกับเขาบ้างล่ะ
ได้มาซุ้มแรกแล้วค่อยเหมือนกับชาวบ้านหน่อย เพราะรออยู่นาน
เมื่อออกจากซุ้มแล้วบัณฑิตท่านอื่น ๆ ก็เข้ามาถ้าถ่ายภาพต่อ เราจึงออกมาบันทึกภาพอีกภาพระหว่างที่รอให้ซุ้มอื่นเบาบางลงซักนิด
สังเกตุคนกลางนะ..
"อาตึง" นั่นเอง ทำไม
"บวม" จัง กินอะไรเข้าไป หรือว่า
"กินอาหารดิบ" มากจึงทำให้เนื้อบูด..ย่อยไม่ทัน
ตัวตนจริง อาจจะไม่สังเกตุตัวเองเท่าไร แต่เมื่อมาดูภาพแล้ว โอ้โห...จริง ๆ ด้วย คงตกใจมาก อาจจะทำตนเป็นเหมือนพระสังกระจายก็ได้ ...เพียงเท่านี้ก็ "สาวตรึม" แล้ว (ว่างั้น)
ซุ้มข้าง ๆ กันผู้คนเริ่ม "เบาบาง" เราจึงไปยืนเข้าแถวรอซักนิดหนึ่ง ระหว่างรอนั้นบรรยากาศมันช่างชื่นมื่นเสียเหลือเกิน เรียกว่า
"กินบรรยากาศ" ขณะนั้นแล้วแสนจะภูมิใจครับ
โอกาสอย่างนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก สิ่งแบบนี้ไม่ได้มาเพราะโชค แหละไม่ได้มาเพราะเงิน ต้องมีความสามารถแบบเยอะด้วย
ตลอดระยะเวลาสองปี กระผมเองนอนดึกมาก และนอนชั่วโมงต่อวันก็น้อยด้วย วันใดที่ว่างแทบจะนอนทั้งวัน
มีบางท่านในรุ่นของเรานั้น "ไม่จบ" แต่ผมว่า.."ลุย" ต่ออีกหน่อยครับ
เหลือไม่มากแล้ว ถ้าทิ้งก็คือ "จบเห่" ไม่ได้อะไรเลย อุตส่าห์ลุยกันมาเยอะมากแล้ว ...ขอเป็นกำลังใจครับ..
อยากให้มีวันนี้เหมือน ๆ กัน มันเป็น
"ประวัติศาสตร์" ของเราเลยนะ ไม่ใช่ว่า
"ใคร ๆ ก็ทำได้" เขากรองตั้งแต่แรกแล้วว่าคุณมีสิทธิ์หรือไม่มีสิืทธิ์เรียน
หลายต่อหลายภาพที่เราถ่ายภาพอยู่นั้น กระผมเองไม่เห็นกลุ่ม X-mie R4 หรือกลุ่มที่รู้จักเลย นั่นเพราะผู้คนเยอะมาก ๆ
อีกภาพที่คิดว่าสวยงามยิ่งนักของกลุ่มเรา คือภาพ
"น้องญา" ยืนถือช่อดอกไม้ ซึ่งสิ่งนี้
"ประทับใจยิ่งนัก"
ภาพที่ปรากฏวันนี้จะเป็น
"แรงบันดาลใจ" ให้น้องญาตั้งใจเรียนให้สูงกับวุฒิการศึกษามากที่สุด
ทำไมนั่นเหรอ ไม่มีอะไรที่ดีเท่ากับการศึกษาหรอก ถึงแม้จะมีเงินมากมายแต่ไม่สามารถบริหารเงินให้อยู่กับเราได้ชีวิตก็จะไม่ค่อยบริบูรณ์นัก
เงินล้านบาทวันนี้อีก 20 ปี ข้างหน้า ค่ามันก็ไม่ถึงล้านบาทวันนี้แต่นับจำนวนได้ล้านบาทเ่ท่าเดิม
ฉะนั้น อาจจะได้ยินคนเรารวยไปเรื่อย ๆ เพียงแต่ความเป็นอยู่ก็อาจจะเ่ท่าเดิม
ซึ่งผมเคยได้ยินเพื่อนผมเองเล่าว่า เมื่อ ุ60 ปี ที่แล้ว ยายของเขาเป็นคนรวยที่สุดในหมู่บ้านคือมีเงินถึง 100 บาท ลองคิดดูเพียงแค่ 60 ปีผ่านไป เงิน 100 บาท เป็นอย่างไร
ถ่ายภาพกันอยู่ตั้งนาน
"ย่า" เพิ่งจะมา เนื่องจากไปหาซื้อดอกไม้อยู่ จึงต้องใช้เวลาซักนิดหนึ่งเพื่อจะหากลุ่มของเราว่าอยู่แห่งหน ตำบลใด
อีกภาพนั้น...เราถ่ายเป็นครอบครัวของเราซักหน่อย ซุ้มนี้เป็นกล่องที่ออกแบบได้ไม่เลวเลย รูปทรงแบบธรรมด๊า..ธรรมดา แต่มีเสน่ห์ยิ่งนัก
ภาพนี้เราจึงถ่ายกับ
"ย่า" และ
"น้องญา" ให้เป็นแบบส่วนตัวหน่อย เพราะถ่ายเป็นกลุ่มมาเยอะมากแล้ว
น้องญา..นั้นยิ้มแก้มแทบปริ วันนี้น้องญา
"สงบเสงี่ยม" เยอะเลย
คงรู้ว่าเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของ
"ลุงโต้ง" และน้องญาได้ใส่ชุดสวย ๆ ด้วย และมีช่อดอกไม้ให้ถือด้วย
เหตุนี้กระมังจึงทำให้น้องญา
"นิ่ง" ได้ ปกติก็ไม่ค่อยเจอหรอกถ้ามาต่างถิ่นอย่างนี้
อีกภาพหนึ่งที่เห็นกันแบบเต็ม ๆ ซึ่งหลายซุ้มนั้นเมื่อจะถ่ายภาพแบบให้เห็นเต็ม ๆ เฉพาะกลุ่มเรานั้นจะยากหน่อย
เพราะผู้คนแออัด จะบอกขอพื้นที่หน่อยครับคงลำบาก ดังนั้น จึงถ่ายภาพแบบรวม ๆ เท่าที่จะถ่ายได้
ในแต่ละซุ้มนั้นจะถ่ายภาพไว้หลายภาพมาก และต้องตั้งท่าให้ไวกันซักหน่อย เนื่องจากท่านอื่นก็รอที่จะถ่ายภาพซุ้มนี้เหมือนกับเรา
ห่างมาอีกจุดหนึ่ง คิดว่าเป็นมุมที่ถ่ายภาพได้สวยอีก เราจึงรวมกลุ่มกันขึ้นมาอีก และลั่นชัตเตอร์หลายต่อหลายภาพด้วยกัน
จะเห็นได้จาก "รอยยิ้ม" ของญาติ ๆ นั้น ดูแล้วไม่เหนื่อยเลย และ "ภูมิใจ" กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้
กระผมต้องขอบคุณทุกแรงใจที่มาร่วมบันทึกภาพในวันสำคัญ ๆ วันนี้อีกครั้งหนึ่ง ถึงแม้ทุก ๆ คนต่างยินดีที่จะมาร่วมแสดงความสำเร็จของกระผม
ในใจลึก ๆ นั้นกระผมก็ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่มีญาติ ๆ เหล่านี้มาร่วมบันทึกภาพกับกระผม ภาพคงออกมาไม่สวย คง
"กร่อย" "จืดชืด" เป็นแน่แท้
อีกซุ้มหนึ่งที่จัดไว้ได้สวยงามอีกจุดหนึ่ง (เพราะต้องเดินถ่ายไปเรื่อย ๆ ) เราจึงรวมกลุ่มกันอีกครั้ง
นับ 1,2,3 ก็ลั่นชัตเตอร์กันอีกแล้ว ภาพที่ออกมานั้นถือว่า
"สวย" ทีเดียว
ส่วนภาพนี้
"อาติ๋ว" หามุมได้สวยงามมาก ผู้คน
"ร้างรา" ไปซะแล้ว เพราะว่า..กระผมเองได้เวลาที่ต้องเข้าไปซ้อมรับปริญญาเสมือนวันจริงทุกประการ
จึงทำให้อาติ๋วได้มุมสวย ๆ ที่เลือกถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก เมื่อบัณฑิตเข้าไปห้องซ้อมรับปริญญาเกือบหมดจึงทำให้เห็นสถานที่ซุ้มอื่น ๆ ได้ชัดเจนขึ้น
ญาติ ๆ ของกระผมจึงถ่ายภาพกับซุ้มที่เหลือแบบสบาย ๆ เลือกมุมได้เองตามใจชอบ ไม่ต้องเกะกะใครแล้วคราวนี้
ท่า
"โพสท์ถ่ายภาพ" ของอาติ๋วนั้น แหม...เหลือหลายครับ
คงจะดูจากหนังสือดาราหรือโทรทัศน์เยอะมากจึงจำท่าทางเขาได้ 555
ก็ว่ากันไป...(ก็ไม่ได้ไปบ่อยหรอกลุงโต้ง...อาติ๋ว คงจะบอกอย่างนั้นในใจแน่ ๆ )
อ๊ะ อ๊ะ...ยังมีอีกมุมนี้อีกนะสำหรับอาติ๋ว แต่ว่า..เอ๊ะ..ใครถ่ายให้ล่ะซุ้มนี้น่ะ หรือว่า................
เราไม่กล่าวถึงละกัน คงเดาไม่ผิดหรอก อิอิ.. มุมน่ะมันก็สวยดีหรอก แต่..เอ๊ะ คนก็สวยกว่าซุ้มที่เขาจัดไว้สิ ต้องอย่างนั้น
(ใจหาย..ใจฟ่ำเลย)
ใคร ๆ ก็ถ่ายภาพกันน่ะลุงโต้ง จะมาแซวกันทำไม ก็ไม่มีอารายหรอกจ้า ก็ถ่ายภาพไปซี
ว่าแต่..ออกจากนี้แล้วจะไปไหนกันน่ะ ไม่ต้องรอนะ เพราะคงซักหนึ่งทุ่มนุ่นแหละถึงจะซ้อมรับปริญญาเสร็จ
ยัง ๆ เสียงของญาติ ๆ กล่าวมาแต่ไกล ขอถ่ายภาพกับซุ้มนี้อีกภาพหนึ่ง
เมื่อถ่ายรูปเป็นที่พอใจแล้ว กลุ่มญาติของเราจึงไปนู้นเลย
"ลานสเก็ตน้ำแข็ง" สำโรงโน่น
ซ้อมไว้ครับเพื่อที่จะเล่นหิมะที่ญี่ปุ่นในช่วงวันที่ 19-31 มีนาคม 2556 ศกนี้นี่แหละ ดูลีลาของแต่ละคนครับเด็ด ๆ ทั้งนั้น
การเล่นสเก็ตน้ำแข็งของเรานั้น ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว เรียกว่าซ้อมกันทั้งปี (ปีละหนสองหน...แล้วจะเรียกซ้อมทั้งปีได้อย่างไร เห้อ)
เตรียมลุยลานหิมะให้หนำใจ..จึงต้องซ้อมไว้ครับ ครั้งที่แล้ว "ไถกระดานลื่น" อย่างเดียว แต่ก็มันหยดติ๋งน่ะ
ส่วนกระผมนั้นก็เข้าห้องไปซ้อมรับพระราชทานปริญญาบัตรแบบเสมือนวันจริงในห้องตั้งแต่ 10:00 น. จึงถึง 19:00 น. (เข้มข้นจริง ๆ )
คณะลูกขุนเข้าไปเล่นสเก็ตน้ำแข็งก็เริ่มตั้งแต่ซัก 11.00 น. เป็นต้นไป เล่นกันจน "เมื่อย" ว่างั้นเถอะ เนื่องจากว่าชั่วโมงบริการของที่นี่ราคาไม่แพง เด่นคือ เล่นได้นานด้วย
ภาพที่เห็นขวามือนั้นคือ "น้องนนท์" ครับ น้องนนท์ก็เป็นถือว่าเยอะเช่นกัน สิ่งที่ทำให้น้องนนท์เล่นได้เร็วคือ "รองเท้าสเก็ต" นั่นเอง
เพราะสมัยเด็ก ๆ นั้นน้องนนท์จะใส่รองเท้าสเก็ตเล่น ดังนั้น การมาเล่นสเก็ตจึงทำให้น้องนนท์ไม่ตกใจหรือไม่แปลก
ภาพที่เห็นซ้ายมือนั้นคือ "น้องนิ้ง" จ้า น้องนิ้งนั้นเล่นเป็นเยอะแล้ว "เหินเวหา" ได้แล้ว แต่ยังเล่นเร็วมาก ๆ ไม่ได้ ก็ต้องพยายามต่อไป
สิ่งที่น้องนิ้งเล่นได้เร็วนั้นเร็วตั้งแต่เด็ก ๆ คือ ใช้
"รองเท้าสเก็ต" จุดนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรียนรู้ได้ไว
ซึ่งสมัยเด็กนั้นก็เปลี่ยนกันใช้กับน้องนนท์
ยกตัวอย่างคือ กระผมเอง เล่นเป็นยากมากเนื่องจากว่าไม่ได้หัด ฉะนั้นจึงทำให้ "หวั่นกลัว" ที่จะลื่น ซึ่งถ้าลื่นนะ "ก้นกระแทก" เจ็บจ้า
ส่วนภาพด้านขวามือนั้นคือ "แม่้อ้อย" ค่ะ อุ้ย !!!!! เริ่ม "หย่าง" ได้แล้ว แหม...ฝึกมาจากใสน้อ
วิทยายุทธยังบ่ล้ำเลิศ "อย่า" เพิ่งเหินเด้อ เดี๋ยวจะหาว่าสายัณห์ ไม่บอก เดี๋ยวมันจะ
"เหยิน" หลายกั่วเก่า ก๊าก......ก ๆๆๆๆๆ
เป็นห่วง บ่มีหยั่งดอก ย่าน..ที่ดัดแข้ว(ฟัน)มานั้น "ฟรี"
สำหรับ "น้องญา" วันนี้เล่นได้ดีและพัฒนาึ้ขึ้นจากเดิมเยอะ ก่อนนั้นล้มลุกคลุกคลานเป็นว่าเล่น เกือบจะกลัว
แต่พอห่างเหินการเล่นสเก็ตน้ำแข็งนาน ๆ เมื่อไปถึงสถานที่ก็ "คึก" และเริ่มเล่นใหม่
วันนี้เล่นคนเดียวได้แล้ว ก่อนนั้นต้องคอยเกาะ "ป้าอ้อย" อยู่ตลอด หรือไม่ก็เกาะน้องนิ้ง ส่วนถ้าจะไปเกาะน้องนนท์นั้น "ฝันซะเถอะ" อย่ามาใกล้ ไม่งั้นมีเฮ (ไม้เบื่อไม้เมา)
สำหรับคนนี้ "อาติ๋ว" ครับ อะอะ ...ยืนเกาะอารายน่ะ สามสนามแล้วนะ แล้วจะไปเล่น "สกีผาดโผน" ที่ญี่ปุ่นได้เรอะ โอ๊ว....ว พระเจ้า
พูดไปคนที่ไม่เคยเล่นสเก็ตมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าสเก็ต หรือ สเก็ตต่าง ๆ จะระแวง เนื่องจากว่าอุปกรณ์ที่มีนั้นเราไม่ได้ใส่ให้ครบ ฉะนั้น ถ้าล้มก็คือ "กระแทก" โดยตรงเลย
พอเลิกจากเล่นสเก็ตก็เข้าไปยังโรงแรมที่จองไว้เพื่ออาบน้ำอาบท่า และมาทานข้าวเย็นรอ-กระผมเลิกจากซ้อมรับปริญญา โดยกลุ่มคณะลูกขุนไปนั่งทานก่อน
เมื่อพลัดพรากจากกันตอนก่อนสิบโมงเช้าหลังจากถ่ายรูปเสร็จ กระผมจึงต้องแยกเข้าห้องซ้อมรับปริญญา กระผมเตรียมข้าวปลาอาหารไปด้วย
..แต่...ลืมนำเข้าไปครับกระหม่อม จึงได้ความอนุเคราะห์จากเพื่อน ๆ ที่อยู่ใกล้เคียง (ไม่งั้น...หิวแน่)
นั่งรอกันซักพักจึงถ่ายรูปตัวเองในห้องซ้อมหน่อย เพราะว่ารุ่นน้องที่อยู่ด้านหลังก็กำลังทยอยเข้ามาในห้อง เฉพาะของ มจพ. นั้นวันนี้มีประมาณ 5,000 คน ถือได้ว่าเยอะมากน่ะ
แค่เดินเข้าห้องซ้อมรับปริญญาก็ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีแล้ว ก็คนมันเยอะนี่น้อ เกือบครึ่งนะต้องวิ่งเข้าห้องเป็นบางช่วงโดยเฉพาะก่อนจะเข้าห้องประชุม เนื่องจากเขาเดินเข้าห้องเร็วมาก
ในภาพนี้
"คุณโอ" ก็เข้ามาแทรกถ่ายภาพร่วมกับผมและ
ด้วย คงจะอยากมีส่วนร่วมด้วนนั่นแหละ
เพราะบริเวณที่คุณโอนั่งไม่ค่อยจะบันทึกภาพซักเท่าไร หรือว่าไม่ได้นำกล้องมาก็ไม่ทราบ เพราะตอนแรกเขาบอกว่าพยายามอย่านำอะไรมามาก ถ้าหายแล้วจะตามยากเนื่องจากว่าคนเยอะ
เมื่อเข้าไปในห้องแล้วก็คงจะไม่รู้ว่าจะถ่ายภาพอะไรได้อีก จึงไม่อยากนำกล้องมาก็เป็นได้
มุมนี้
"นาย..กระดิ่งทอง" ก็เป็นคนถ่ายภาพให้ เพราะเห็นนั่งอยู่เฉย ๆ นาน เดี๋ยวจะไม่มีภาพกับชาวบ้านชาวเมืองเข้า
ถ้าไม่มีภาพเลย
"เดี๋ยวจะเสียใจร้องไห้ขี้มูกโป่ง" ในห้องก็จะถ่ายได้เฉพาะวันซ้อมนะจ๊ะ วันจริงแถบจะมาตัวเปล่ากับชุดเท่านั้นแหละ
กระผมนั่งเปล่า ๆ อยู่นั้นก็กดชัตเตอร์ถ่ายตัวเองไปพลาง ๆ ซะหน่อย ได้ภาพที่ออกมาแล้วถือว่า
"สวยงาม" ทีเดียว แสงไฟที่ส่องด้านหลังทำให้ภาพที่ปรากฏเด่นขึ้นมาทันใด
หลาย ๆ ท่านบันทึกภาพไว้เป็นที่ระลึกของใครของมัน อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ถ่ายถ้าเฉพาะวันนี้จ้าสำหรับในห้องนี้ วันจันทร์ที่ 28 มกราคม 2556 นั้ง ห้ามเด็ดขาด
ต่อไปเป็นขึ้นตอนซ้อมเสมือนจริงขึ้นไปรับปริญญาบัตร เมื่อมองจากด้านหลังแล้ว ถือว่า ..
ดี..และ..
เป็นระเบียบมาก
จากจำนวนของบัณฑิตที่มีมากมายอาจจะมีผิดพลาดบ้าง แต่ด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิแล้วสามารถปรับปรุงได้เร็วมาก
สิ่งหนึ่งอาจจะเกิดจาก
"ซ้อมบ่อยหรือซ้อมหลายรอบ" ก็เป็นได้ เพราะถ้าใครทำไม่ถูกขึ้นตอนหรือตกหล่นก็จะถูก
"ซ่อมแก้ไข" ในขณะนั้นเลย แต่ไปทำรอบนอก
....
ลองชมภาพเหล่านั้นดูครับ....
อีกภาพหนึ่งเป็นภาพขณะพักครึ่ง โดยวันนี้ทั้งหมดทำเสมือนวันจริงเลย จะมีคนเดินแทนพระเทพฯแบบจริง ๆ ด้วย
ฉะนั้น..อะไรที่ไม่มั่นใจจึงต้องซักซ้อมให้เข้มข้นเป็นอย่างมาก บรรยากาศวันซ้อมใหญ่จึงทำให้
"เงียบเชียบ" มาก
แม้คนจะอยู่กว่า 5,000 คน เหมือนไม่มีใครอยู่ซักคน
น่าทึ่งมาก เรียกว่า...คนไทยถ้าจะทำอะไรไม่แพ้ใครใด ๆ ในโลก ...เว้น..ไม่ทำ ขอรับ
....
ชมเหตุการณ์ที่ปรากฏวันนี้อีกรอบ....
ระหว่างที่พักหลังจากการซ้อมรอบแรกนั้น มีนักศึกษามา "ร้องเพลง" ของมหาวิทยาลัย ซึ่งการทำเช่นนี้เป็นกรณีพิเศษ ที่ทางมหาวิทยาลัยต้องการนำเสนอ
นับว่าเป็นการดี ทั้งเสียงร้องและดนตรีเมื่อได้ฟังแล้ว "ไพเราะ" เป็นยิ่งนัก
เพลงแรกนั้นมาด้วยเพลง "เทอดพระเกียรติพระจอม" ลองฟังกันครับ
หาฟังได้ไม่ง่ายนัก สำเนียงการร้องคล้าย "ออเคสตร้า" การประสานเสียงที่ดี ทำให้การฟังราบรื่นและประทับใจมิรู้คลาย
เพลงที่สองนั้นมาด้วยเพลง "สถาบันเทคโนโลยีพระเจ้าเกล้า" เสียงเพลงยิ่งฟังแล้วทำให้นึกถึงบุญคุณของรัชกาลที่ ๔ เป็นอย่างยิ่ง ที่ทรงเล็งเห็นการณ์ไกลในด้านการศึกษา
ถึงแม้ท่านจะเก่งในด้านดาราศาสตร์ หรือ "บิดาด้านดาราศาสตร์" ของประเทศไทยเลย แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านมองการณ์ไกลก็เรื่องการศึกษานี่แหละ
....ฟังเสียงเพลงที่ได้กล่าวมาแล้วดีกว่า....
เย็นวันศุกร์นั้น
"ย่า" และญาติ ๆ เข้าพักที่
"เนสก์ บูติด รีสอร์ท" เป็นสถานที่คล้ายกับประเทศที่ค่อนข้างจะพัฒนาแล้ว หรือพัฒนาแล้ว
ไม่ค่อยใหญ่โตนัก คล้าย ๆ ของญี่ปุ่นซะส่วนใหญ่ เป็นตึกเหลี่ยม ๆ มีสถานที่ให้จอดรถบ้าง และมีห้องอาหารให้นั่งรับประทาน
ราคาค่าที่พักถือว่าไม่แพง 1,200 บาท รวมอาหารเช้าแล้วนะเนี๊ย
สถานที่ของโรงแรมแห่งนี้นั้นติดกับทางรถไฟทั้งรถไฟฟ้าที่วิ่งระหว่างเข้าเมืองกับสนามบินสุวรรณภูมิ และรถไฟไทยแบบ "โบราณ"
ซึ่งก็ยังคงสภาพนั้นมาตั้งแต่เปิดโครงการเลยทีเดียว ซึ่งถ้าอยากจะเห็นรถไฟแบบโบราณ ท่านสามารถเข้ามาเยี่ยมชมและใช้บริการได้ในประเทศไทย..ครับ
สถานที่ตั้งนั้นจะขนานกับเส้นทางบินขึ้น-ลงของเครื่องบิน ซึ่งค่ำคืนนั้นถ้าใครชอบที่จะเห็นเครื่องบินบินขึ้นบินลงนะ ท่านสามารถนั่งชมได้ที่ระเบียง หรือนอนดูในห้องพักก็ได้
ยิ่งท่านที่ชอบ
"ดื่มเบียร์" ด้วยแล้ว นั่งชมไป
"จิบเบียร์" ไป แหม...ม เข้าท่ายิ่งนัก เพราะ...ขณะที่เครื่องบินกำลังจะลงหรือขึ้นนั้น มันยังมีความเร็วไม่มากนัก ทำให้เราเห็นภาพที่
"สะดุด" ตามาก
สถานที่เข้าไปสู่ที่พักนั้น
"หายาก ซักหน่อย" แต่...ก็สวยงามตามธรรมชาติ นี่ผมเป็นคนไทยเองยังค่อยข้างอึดอัดกับเส้นทางเลย
ความประทับใจเรื่องสถานที่พักนั้นถือว่าอยู่ในระดับที่ดี สถานที่สำหรับนั่งเล่นนั้น ถือได้ว่าทำได้โดดเด่นมากทีเดียว
สิ่งที่ทำให้สถารที่นี้
"โดดเด่น" นั่นคือ
เสาหลักกิโลเมตร (ดังภาพที่แนบไว้) ต้องมีการบันทึกภาพไว้เป็นที่ระลึกเลยทีเดียว
ค่ำคืนนั้น ทุก ๆ คนก็
"เมื่อย" เนื่องจากไปเล่นสเก็ตน้ำแข็งกันมาก และรับประทานอาหารเย็นเยอะอีก ทำให้หนังท้องตึงหนังตาหย่อน พออาบน้ำได้ซักพัก กำลังพูดคุยกันอยู่บางคนก็หลับไปเลย
ส่วน "อาติ๋ว" นั้น...นอนดู..เครื่องบินที่บินขึ้นลงจน "ผล็อยหลับ" ไปเอง บรรยากาศยามค่ำคืนที่มีแสงไฟและเครื่องบินที่บินขึ้น-ลงจากสนามบินสุวรรณภูมิแทบจะพูดได้่ว่า "นาทีละ 1 ลำ" นั้นมันให้สายตาช่างเพลิดเพลินยิ่งนัก
ครอบครัวกระผม...จึงแยกเดินทางสู่ที่พักที่บางนานั่นคือ โรงแรมเอวาน่า ...ผมว่า "แสงไฟ" ยามค่ำคืนนั้นมันช่างน่าดูน่าชมไปอีกแบบ ทำให้มันเย็นสายตา
กลางคืนอากาศก็เย็น ๆ มีลมพัดโชย ทำให้การยืนมองแสงไฟรอบ ๆ กรุงนั้นมันมีสีสรรยิ่งขึ้น อตีตที่นานมาแล้ว กระผมได้ยินคำ ๆ หนึ่งที่พูดว่า
"กทม. คือ เมืองศิวิไลท์"
ซึ่งกระผมคิดว่าเมื่อได้ชมแสงไฟยามค่ำคืน ณ.ตรงนี้แล้ว มันตรงกับคำกล่าวนั้นเสียเหลือเกิน
น้องนนท์..ก็ยืนชมบรรยากาศนั้นจนดึก หรือว่าครอบครัวกระผมเข้าห้องดึกก็ไม่แน่ใจ จึงทำให้อยู่ดึกได้
กระผมพักที่โรงแรมเอวาน่าชนชั้น19 จึงมีมุมสูงสำหรับมองภาพได้ล่างได้แบบสวยงามอีกห้องหนึ่ง
สำหรับห้อง
นอน ที่ "อ้อยใจ" จองไว้เพื่อพักในวันรับปริญญาจริงนั้น จอง" ห้องสูท" ราคาที่พัก 2,100 บาท/ห้อง ...แต่ว่า...ได้บัตรสำหรับ
"นวด" ฟรี 300 บาท/ท่าน
ฉะนั้น
เมื่อจอง 2 คืน จึงได้บัตรนวดนี้คิดเป็นมูลค่าจำนวน 600 บาท กระผมเข้าพักกับครอบครัว
"พี่เอ๋" ห้องพี่เอ๋นั้นเป็นห้องรอง ๆ ลงมา ราคาห้องละ 1900 บาท/คืน
ขาดเพียงแค่ 100 บาท/ห้อง/คืน เท่านั้น ทำให้ไม่ได้บัตรสมนาคุณจากโรงแรม นับว่าเป็นสิ่งที่เสียดายมาก
บริการแบบนี้กระผมทราบเมื่อถึงโรงแรมแล้ว โดยอ่านจาก "โบชัวร์" ของโรงแรมเอง
ห้องที่พักนั้นจะแยกห้องนอนและห้องนั่งเล่นออกจากกัน มีครัวเล็ก ๆ เพื่อให้แขกที่ทาเช่าได้ทำอาหารทานเองบ้าง ถึอว่า "ไม่แพง" มาก
ข้อเสียคือ "ที่จอดรถ" มีขนาดไม่ใหญ่ แต่ก็มีบริการของทางโรงแรมเองด้วย คือ จะมีรถ 2 ตุ๊ก (ตู๊กตุ๊ก) ไว้บริการแขกที่เข้าพักในโรงแรมเกือบตลอดเวลา
เท่านี้ยังไม่จบนะ ยังมีอาหารเช้าให้อีก เราสี่..พ่อ,แม่,ลูกอีกสอง ก็รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมเอวาน่าสาย ๆ เนื่องจากวันเสาร์ที่ 27 มกราคม 2556 ...ว่าง...
รุ่งเช้าของวันใหม่..กระผมตื่นมายามเช้าเพื่อชม "สายหมอก" ของ กทม. เมื่อชมภาพที่ปรากฏต่อหน้านั้น ดูแล้วไม่ต่างอะไรกับบ้านนอกบ้านนา
เพียงแต่ภาพที่ปรากฏต่อหน้านั้น
"ทุ่งนา" หรือ
"ไม่ใช่ข้าว" ไอดินกลิ่นหญ้าจึงไม่ลอยขึ้นมาโชยที่ปลายจมูกให้ชื่นใจ
ก่อนออกไปจากห้องพัก จึงบันทึกภาพมุมสูงอีกครั้งหนึ่งไว้ซักหน่อย เขาเรียกว่า "Bird Eyes" หรือ "Top view"
เรายืนชมบรรยากาศมุมสูงกันอยู่ซักพักหนึ่ง ก่อนที่จะถ่ายภาพที่น่ารัก ๆ ไว้ ในอดีตสถานที่แห่งนี้ถูกมองไว้เป็น "บ้านนอก" ของกรุงเทพฯ
แต่ปัจจุบันก็คือ "กรุงเทพฯ" นั่นแหละ ความเจริญเข้ามาเยือนนั่นเอง
เมื่อพื้นที่แนวนอนถูกใช้ประโยชน์จนเด็มพื้นที่หมดแล้ว ทำให้ต้องพัฒนามาใช้พื้นที่แนวตั้งแทนมากขึ้น
นับวันตึกสูง ๆ ก็จะถูกก่อสร้างมากขึ้นเรื่อย ๆ ต้องก็ต้องแลกมาด้วย "ต้นทุน" ที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน
สาย ๆ จึงลงมาจากห้องพักเพื่อไปถ่ายภาพที่ไบเทคบางนา เพราะคิดว่าวันนี้ผู้คนคง "เบาบาง" มาก
เพราะนักศึกษาของมหาวิทยาลัยลาดกระบังกับธนบุรีเข้าไปยังห้องซ้อมรับปริญญาหมดแล้ว คงทำให้เราได้ถ่ายภาพตามสะดวก
เมื่อมาถึงสถานที่ไบเทค ทำให้การคาดการณ์นั้นไม่ผิดเลย เราเดินถ่ายภาพแบบสบาย ๆ ไม่ต้องกังวล
หลายต่อหลายภาพวันวานที่ผ่านไปตอนที่กระผมมาถ่ายภาพวันซ้อม ภาพของวันนี้กระผมไม่เคยเห็นเลย เนื่องจากผู้คนเยอะทำให้ดูไม่ทั่วถึง
ดอกไม้ที่ตั้งขายบริเวณหน้าตึกประดับประดาด้วย "สี" ต่าง ๆ ทำให้สวยงามมาก สนนราคาก็มีตั้งแต่ 100 บาท ขึ้นไฟถึงหลักหลายพันบาท
ป้ายหรือซุ้มใหญ่วันนี้ เราถ่ายภาพกันแบบหามุมได้ตามสบาย ไม่ต้องกังวนวันจะมีใครเข้ามาแทรกอยู่ด้านหลังของภาพ ไม่ต้องแย่งกันเข้าคิดถ่ายภาพ ก็สบายใจดี
สถานที่ไบเทคแห่งนี้ปีหนึ่ง ๆ ถูกใช้งานเยอะมาก ไม่ว่างานจะใหญ่หรือเล็กก็ล้วนมอหา "ไบเทค" ทั้งนั้น เพราะความสะดวกใสเรื่องการเดินทาง ทั้งรถยนต์ ,รถไฟฟ้า รวมถึงลานจอดรถที่กว้างไม่น้อยหน้าที่ใด ๆ เลย
ช่วงบ่ายแก่ ๆ ของวันเสาร์ เราจึงไป "ชมเครื่องบิน" ที่บริเวณลานบินของสนามบินสุวรรณภูมิ สถานที่ตรงนั้นเป็น "จุดชมวิว" ที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งที่จะดูเครื่องบิน
ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นนะครับ...แต่มันมีเสน่ห์จริง ๆ เพราะว่า...เครื่องบินราคาหลายร้อยล้าน และใหญ่ขนาดนั้นมันบินขึ้นไปได้อย่างไร (ขนก็ไม่มีเหมือนนกซะหน่อย)
อีกเหตุผลหนึ่ง การชมเครื่องบินในประเทศไทย
"หาชมยาก" แหละโอกาสของคนไทยที่จะใช้บริการเครื่องบินนั้น
"ช่างยากเย็นแสนเข็น" มาก
ใครที่มีโอกาสได้ขึ้นเครื่องบินนั้น ช่าง
"ดูดี" เสียเหลือเกิน และ
"คุยหรือโม้ได้อีก 3 ตำบล" ยาวนานเป็นเดือน ๆ
เนื่องจากขั้นตอนกว่าที่จะขึ้นเครื่องบินได้นั้น ช่างไม่สะดวกเสียเหลือเกิน ต้องจองตั๋วก่อนที่จะขึ้นเครื่องบิน, ต้องเดินทางไปที่สนามบิน ,ต้องเตรียมสัมภาระไม่เกินน้ำหนักที่กำหนดไว้ เช่นไม่เกิน 20 กิโลกรัม (รวมน้ำหนักกระเป๋า)
สิ่งเหล่านี้ทำให้คนไทยไม่ค่อยชอบใช้บริการโดยสารเครื่องบินมากนัก ทำให้เห็นรถยนต์เต็มถนนเมืองไทยไปเรื่อย ๆ
และคงจะนานมากที่ปริมาณรถยนต์บนถนนจะเบาบาง เนื่องจากยังมองไม่เห็นว่าจะมีวี่แววทางใดที่คนไทยจะไม่ใช่รถยนต์ส่วนบุคคล
เนื่องด้วย การ
"ขนส่งมวลชน" ในประเทศไทย
"เสี่ยง" และ
"ไม่ปลอดภัย" รวมทั้ง
"ไม่มีมารยาท" ในเรื่องการใช้รถใช้ถนนเป็นส่วนใหญ่นั่นเอง
เราถ่ายภาพ 3 พ่อ, แม่ ,ลูก กันซักหน่อยซิ ที่ถ่าย 3 คน เพราะ
น้องนนท์กลับระยองซะแล้ว ช่วงนี้เป็นการสอบ
"โอเน็ต" เพื่อเก็บคะแนน ฉะนั้น น้องนนท์จึงขาดเรียนไม่ได้อีกแล้ว (เสียใจด้วยเด้อ 55)
ติดตามด้วย ภาพสองแม่ลูกที่น่ารัก ๆ อีกภาพหนึ่ง ภาพที่ออกมา
"ช่างแสนจะน่ารัก" เสียเหลือเกิน
ดอกไม้ที่ซื้อมาตั้งแต่เมื่อวาน (วันที่ 26 มกราคม 2556) ยังสวยงามดีอยู่เลย เพราะมันเป็น
"ดอกไม้พลาสติก" ทำให้มันยังคงเส้นคงวาได้ตลอดระยะเวลากว่าที่จะทิ้งมันเอง
ดูเครื่องบินบินขึ้นลงตั้งหลายลำ รู้สึกว่า
"เพลิน" มา แต่สังเกตุเห็นป้าย
"ห้ามจอด" คงจะหมายถึงห้ามจอดชมเครื่องบิน ลึก ๆ คือ
"ป้องกันอาชญากรรม"
แหม..คิดไปได้ ประเทศไทยไม่ได้ผลิตเครื่องบินขาย ยังไหว้ต้นไม้อยู่เลย ก็ให้เขาดูบ้างดิ เขาจะได้มีความคิดใหม่และพัฒนามากกว่านี้
ถ้าจะ
"ก่อวินาศกรรม" น่ะ มันไม่ใช่เรื่องยากหรอกคุณ เป้าหมายมีเยอะแยะ แค่เครื่องบินบินขึ้นลงแค่นี้
"สบายมาก" ถ้าจะทำลาย ลองคิดดูว่ามีอะไรบ้าง
"จะได้เก่ง"
ชาวบ้านชาวเมือง "สนใจ" กับการบินขึ้นและบินลงของเครื่องบิน มันเป็นเรื่องแปลกของคนไทย
เครื่องบินขึ้นบินลงน่ะก็น่าจะทำได้ระดับหนึ่งแหละ แต่น้ำหนักที่มันบรรทุกมหาศาลนั้นคนเขาสนใจต้องทำอย่างไรจึงจะให้มันบินได้
มีคนที่สนใจพอจะรู้ว่าทำอย่างไรให้มันบินได้ แต่จะทำอย่างไรให้บรรทุกของมาก ๆ ที่หนัก ๆ แล้วเคลื่อนที่ให้เร็วได้ นี่สิน่าสนใจ คุณก็ห้าม แหม...ลูก เมียคุณเคยบอกหรือไม่ว่าอยากดูเครื่องบินบ้างน่ะ
...ชมบรรยากาศการชมเครื่องบินเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2556 กัน....
เย็น ๆ กลับมาที่โรงแรมเอวาน่า ทางโรงแรมเองได้จัดซุ้มดอกไม้ไว้เพื่อแสดงความยินดีกับบัณฑิตที่เข้ามาพักกับโรงแรมนี้ ถ้าได้บันทึกภาพอีกจุดหนึ่งตรงซุ้มดอกไม้นี้ไว้เป็นที่ระลึกด้วย
รุ่งเช้าของวันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม 2556 ถึงเวลาที่สำคัญของตัวกระผมเองแล้วครับที่ ผมตื่นนอนตอนตีห้า เพราะต้องเตรียมความพร้อมก่อน
เมื่อได้เวลาซัก 06:26 น. ผมเห็นภาพด้านนอกห้องมีแสงไฟที่สวยงามมาก เท่านั้นแหละ ผมนำกลัองมากดชัตเตอร์เลย
ทำให้ได้ภาพที่สวย ๆ มาชมกัน ผสมกับยามเช้าของ กทม. และโดยรอบของโรงแรมเอวาน่าจะปกคลุมได้ด้วย
"หมอก" ยิ่งเพิ่มความเพลิดเพลินในการชมภูมิทัศน์
อีกมุมหนึ่งของเพื่อนและญาติบัณฑิตเรา ต้องลำบากกันก็เพราะว่า
"รถติด" นั่นเอง
เหตุผลใคร ๆ ก็อยากขับรถยนต์มาเอง ทำให้บริเวณถนนด้านหน้าของโรงแรมรถไม่ขยับขเยื้อนเลย
มองไปทางใดก็เป็น
"สินค้าญี่ปุ่น" ของคนไทยที่ทำขายนั้น ปัจจุบันเสียไม่เยอะ
ผมก็อาบน้ำอาบท่าแหละตระเตรียมสิ่งของพร้อมชุดที่จะใส่ไปรับพระราชทานปริญญาบัตร
รู้สึกตื่นเต้นลึก ๆ ในใจ จริง ๆ ก็คงเป็นครั้งแรกที่ได้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรกับสมเด็จพระเทพฯ
ดังนั้นครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สองที่ได้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรกับเชื้อพระวงศ์ ครับ
...
ฟังความรู้สึกของผมตอนรุ่งสางวันที่ 28 มกราคม 2556 ดิ๊...
เมื่อแต่งตัวเสร็จแล้วครอบครัวกระผมก็เดินทางลงมาสู่ด้านล่างของโรงแรมเอวาน่า เพื่อรับประทานอาหารเช้าก่อน
จากนั้นจึงเดินทางไปที่ไบเทค เมื่อลงมาถึงด้านล่างแล้วรู้สึกว่าเพื่อน ๆ ที่จะเข้าร่วมรับปริญญาบัตรนั้นมีเยอะเหมือนกันที่เข้าพักโรงแรมนี้
รวมถึงชาวต่างชาติที่มาพักโรงแรมนี้มีมากเช่นกัน ที่เห็นนั้นเป็น ฮ่องกง และ จีน
รถเราเองต้องจอดข้างถนน แต่มีคนดูแลเพราะเป็นพื้นที่ของโรงแรม โดยใครที่จอดรถด้านริมถนนทางเข้าโรงแรมเอวาน่าจะมีรถ 2 ตุ๊ก หรือรถ ตุ๊ก ๆ นั่นแหละคอยวิ่งรับ-ส่ง
กระผมเองก็มาเอาชุดที่รถนี่แหละ เพราะถ้าถือไปห้องพักจะต้องถือไปไกล ผมก็เพียงอาบน้ำเท่านั้นแล้วมาแต่งตัวที่รถนี่แหละ
กระผมนั้นบันทึกภาพไว้เยอะเช่นกัน คล้ายอยากได้บรรยากาศการเดินทางน่ะ เหล่าบัณฑิตก็เดินไปด้วยกันมีเยอะนะ
...
ดูสิ่งที่เกิดขึ้นขณะนั้นละกัน....
ขณะที่เดินทางออกจากปากซอยของโรงแรมนั้น "รถติด" กันระนาวครับ ยาวหลายกิโลเมตรเลย
ซึ่งเหตุการณ์นี้ผมเห็นตั้งแต่เมื่อ 05.00 น. แล้วแหละ เพราะผมเพิ่งจะตื่น จริงแล้วรถน่าจะติดตั้งแต่ซัก 03.00 น.โน่นแล้วล่ะ
ผมและครอบครัวก็เดินไปเรื่อย ๆ รู้สึกว่าจะเร็วกว่ารถที่วิ่งในถนนเสียอีก เพราะรถติดไง
ระแวกข้างทางที่ไปไบเทคนั้นมีดอกไม้และเครื่องประดับที่ให้กับบัณฑิตหรือญาติที่สนใจซื้อเพื่อนำมาประกอบฉากสำหรับถ่ายรูปเ
ยอะแยะ
สนนราคานั้นร้านแรก ๆ อาจจะราคาแพงหน่อย แต่หลัง ๆ นั้นราคาเริ่มต่ำแล้วแฮะ (กลยุทธ ฮ่ะ)
....
ชมภาพการขายดอกไม้ริมทางกันครับ...
ขณะที่เราเดินก่อนจะเข้าประตูไบเทค กระผมพบกับคุณสุทัศน์ คุณสุทัศน์นั้นมากับภรรยาครับ (พกภรรยามาด้วยเหรอ)
ก็คนรักภรรยาน่ะเนาะจะให้ห่างได้อย่างไร กำลังใจที่สำคัญก็คือ "ภรรยา" นี่แหละครับคุณ
กองทุนสนับสนุนถ้าภรรยาไม่อนุมัติ ก็ไม่บรรลุเป้าหมายกันจริง ๆ เลยนะ (จะหาว่าไม่เตือน)
คลังสำคัญน่ะอยู่ที่นี่ครับ แน่นอนการเจียดเงินประมาณ 400,000 บาท เพื่อมาเรียนนั้นเพียงระยะเวลาสองปีนั้น ...ยากเอาการครับ...
คุณสุทัศน์นั้นยัง "ฝาก" ข้อความที่สำคัญ ๆ ให้กับกระผมเองด้วย ต้องขอบคุณมากครับ
...ลองฟังข้อความนั้นดูครับ...
เมื่อเข้ามาในบริเวณประตูทางเข้าหลังจากเจอกับ "คุณสุทัศน์" แล้ว ผู้คนเยอะมากเลยคราวนี้ สีแดงละลานตาไปหมด ญาติของบัณฑิตก็ยิ่งทวีคูณไปใหญ่
ถ้าจะหากันคงยากมาก เนื่องจากว่า เสียงประกาศตามสายก็ดังอยู่เนือง ๆ เพราะต้องประกาศบอกให้รถยนต์วิ่งไปในที่ต่าง ๆ
ผมก็ต้อง "ถ่ายภาพ" ไปเรี่อย ๆ ก่อน เพราะถ้าจะหาเพื่อน ๆ นั้น "ยาก" เดี๋ยวจะไม่ทันพิธีที่กำหนด
วันนี้ก็มีเฉพาะครอบครัวของกระผมเพียง "เล็ก ๆ" ที่ถ่ายรูปในวันรับจริง ซึ่งได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ...ญาติไม่สะดวกเพราะเป็นวันจันทร์...
เขาก็จะต้องทำงานทำการกันนะสิ คร้า....บ บางคนก็เก็บวันลาไว้ไปท่องเที่ยวญุีปุ่นกลางเดือนมีนาคม 2556 นี้ เพราะต้องลาพักร้อนกันหลายวัน
จึงทำให้มีเราเพียง 3 คน ส่วน "น้องนนท์" ก็ต้องสอบเก็บคะแนน "โอเน็ต" ทั้งสัปดาห์ (โอเน็ต นะ..ไม่ใช่ โอเด็ด)
บรรยากาศวันจริงนี้มันทำให้อะไร ๆ แปลกตาไปหมด เพราะนี่คือ "ของจริง" ทุก ๆ คนแต่งหน้าแต่งตาแบบว่า "สวยกันสุด ๆ" นะวันนี้
ผู้ชายบางคนถึงขั้น "แต่งหน้าแต่งตา" อย่างกับจะไปเทสก์หน้ากล้อง
คนที่อยู่ข้างผมนั้นคือใครกันหนอ....ผมก็ลืม อ้อ....คนที่คอยช่วยทำรายงานบางวิชา และก็คอยจัดหน้าทำ
"สารนิพนธ์" ก่อนจบ เห้อ...เริ่มจำได้แล้ว
หล่อนนั้นช่วยได้หลายอย่าง เพราะบางกรณีกระผมก็ทำไม่เป็น การศึกษาคราวนี้ไม่ใช่แค่เรียนคนเดียว แทบจะเรียนกันทั้งบ้าน เนื่องจากต้อง
"ขอแรง" ให้ช่วยทำงานบางอย่าง
ตลอดระยะเวลาสองปี แทบจะไม่ได้ไปไหน ก็มีบ้างที่ไปได้ ก็ไม่เป็นไรหลังจากเรียนจบแล้วค่อยหาเวลากับครอบครัวตามความเหมาะสม
สำหรับภาพด้านขวามือนั้นคือ กระผม กับ "น้องนิ้ง" ค่ะ น้องนิ้งนั้นได้กำลังใจที่จะเรียนให้สูงก็เพราะการที่เห็นคุณพ่อเรียนนี่แหละ
น้องนิ้งบอกกับคุณพ่อว่า ...น้องนิ้งจะเรียนให้ถึง ดร. (ด๊อกเตอร์) เลยค่ะพ่อ พ่อคอยดูนะ ...มีแย็บด้วย...
เห็นความตั้งใจของน้องนิ้งแล้วก็ไม่ค่อยหวั่นเท่าไร เพราะน้องนิ้งเห็นตัวอย่างที่ปฏิบัติจริงมาแล้ว และการศึกษาก็จะให้ความคิดความอ่านของคนเราดีขึ้น
การศึกษาสามารถเปลี่ยนอะไรหลาย ๆ อย่างได้ ถึงแม้จะไม่ได้เลย แต่การสะสมความรู้ที่มีอยู่เมื่อมีโอกาสได้ใช้งาน นั่นแหละความรู้ที่มีอยู่จะ
"พรั่งพรู" หลั่งไหลออกมาให้ใช้งานได้อย่างเหลือหลาย
ภาพซ้ายมือ คือ "พี่เอ๋" ครับ บุคคลนี้มีส่วนช่วยผมหลาย ๆ อย่างมาก เป็นคนไม่หวงความรู้ พร้อมที่จะแบ่งปันความรู้ที่ตนเองมีตลอดเวลา
แม้ระยะเวลาที่กระผมโทรศัพท์ปรึกษาจะใช้เวลาถึง 1ชั่วโมงกว่า ๆ อธิบายจนผมเข้าใจ พี่ท่านก็ไม่รำคาญเลย ครั้งนี้ กระผมขอขอบพระคุณอีกครั้งครับ
ส่วนภาพด้านขวามือที่เป็นผู้หญิงนั้นคือ "คุณน้อง" ครับ คุณน้องก็ให้คำปรึกษากับผมอีกท่านหนึ่งที่ดี
และผมยังจำสิ่งดี ๆ ที่คุณน้องให้คำปรึกษากับผมทุกครั้งที่นึกได้
หลังจากเรียนจบกันมาหนึ่งปีแล้ว คราวใดที่มีธุระหรือต้องการคำปรึกษา กลุ่มเราก็ยังโทรศัพท์ปรึกษากันได้ตลอดเวลาอยู่เสมอ
ยามใดที่ผม "คิดถึง" กระผมก็จะเข้ามาดูเหตุการณ์ต่าง ๆ ในเว็บนี้ เสมอ ๆ ซึ่งมันทำให้กระผม "หวนคิด" ถึงเหตุการณ์ ในอดีตได้อย่างแม่นยำ
อีกหลายต่อหลายท่านที่เป็นเพื่อน เป็นพี่ ร่วมชั้นเรียน กระผมคิดถึงท่านเสมอ รวมทั้ง "ครูบา..อาจารย์" ทุก ๆ ท่านด้วย
หนึ่งในนั้นคือ "ท่านอาจารย์สมเกียรติ จงประสิทธิ์พร" ท่านเป็นที่ปรึกษาทำสารนิพนธ์ของกระผมด้วย ท่านดูในรายละเอียดและขัดเกลาจนผลงานกระผมออกมาดีมาก
ท่านอาจารย์สมเกียรติ เป็นมือหนึ่งในใจผมด้านวิชาสถิติ เพราะท่านอาจารย์สามารถนำวิชาสถิติมาประยุกต์ใช้กับเหตุการณ์ปัจจุบันได้อย่างเหมาะสม
ท่านอาจารย์ปัจจุบันมีใจบุญใจกุศลมาก ทำบุญให้กับวัดต่าง ๆ มีมูลค่า "มหาศาล" แทบจะเป็นเหมือน ๆ "กระทิงแดง" เพราะเครื่องดื่มกระทิงแดง จะให้เงินเพื่อนไปทำ CSR กับวัดและชาวบ้านปีหนึ่ง ๆ ประมาณ 500 ล้านบาท ฟังแล้วปลื้มใจเสียจริง ๆ ..ดังแล้วแถมมีใจกุศลด้วย
ความรู้ความอ่านมีกันทุก ๆ คน เพียงแต่ว่าใครจะหยิบยกขึ้นมาใช้งานได้ง่ายและเข้าใจได้เร็วกว่ากัน กระผม..อิงไปในเรื่องนี้
แม้ทุกวันนี้โลกจะเปลี่ยนไป แต่ ..ความคิดถึง พี่ ๆ ,เพื่อน ๆ ที่เคยร่วมเรียนมาด้วยกัน ยังมีอยู่ในใจของผมเสมอ
....ชมภาพของเหตุการณ์วันสำคัญ ๆ ได้เลยครับ....
.....ยังคิดถึงทุก ๆ ท่านเช่นเคย...ขอรับ
จาก....กระดิ่งทอง