วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558

การวางแผนและการทำตามแผน

หลายต่อหลายสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้ เป็นการวางแผนไว้ก่อนแล้ว หมายถึงต้องเริ่มจากความคิดที่จะทำให้เกิดก่อนแล้วค่อยทำตามความคิด

มัน "แทบ" เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดขึ้นโดยบังเอิญ  สิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญนั่นคือ "ธรรมชาติ" ของมันเอง  หรือ ธรรมชาติกำลังจะสอนอะไรให้ทราบ

"ความคิด" เป็นใหญ่ เมื่อมีความคิด "เริ่ม" ก็สามารถที่จะเกิดการกระทำที่ลงมือต่อไปได้

...ขอ...มาต่อในโอกาสหน้า   เน้อ....

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ความทันสมัยกับความล้าหลัง

ปัจจุบันถือว่าเป็นความ "สมัยใหม่" แล้ว ...แต่...บางหรือหลายแห่งก็ยัง "ล้าหลัง" ไม่อยากที่จะพัฒนาให้ดีขึ้นเท่าที่วิวัฒนาการที่ล้ำยุคนัก

อินเตอร์เน็ตในปัจจุบันสามารถที่จะเรียกข้อมูลอีกอย่างขึ้นมาคู่กันได้ตลอดเวลา  แต่ บางแห่งกลับทำ "นิ่งเฉย" ไม่สนใจสักเท่าไร


...จะเล่าให้ฟัง โอกาสต่อไป  ขอรับ

วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ออกพรรษา ปี 2558

อีกครั้งกับฤดู "ออกพรรษา" ตามธรรมเนียมชาวพุทธ สิ่งที่ประพฤติและปฏิบัติกันมายาวนานคือ "ทำบุญวันออกพรรษา" ณ. วัดที่อยู่ใกล่บ้านของแต่ละคน


....จะมาต่อ  ยามว่าง เน้อ....

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558

เตรียมตัวไปท่องเที่ยวญี่ปุ่น ปี 2558

การเตรียมตัวของเราชาว "อยู่เย็น" และสมาชิกสำหรับการท่องเที่ยวญีปุ่นของเราครั้งนี้ ซึ่งจะตรงกับวันที่ 4 -13 ธันวาคม พ.ศ. 2558   หากนับระยะเวลาสำหรับการไปพักผ่อนเพื่อท่องเที่ยวจะนับได้ 9 วัน

จริง ๆ อยากได้วันท่องเที่ยวที่มากกว่านี้ ...แต่...ติดที่ลูก ๆ จะลาเรียนมาก  จึงทำให้ต้อง "ร่น" ระยะการท่องเที่ยวให้สั้นลงมาอีก

....ขอ...เวลาอีกหน่อย...จะได้มาเล่าต่อในตอนต่อไป  ขอรับ.....

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2558

กีฬาสี ตากสินระยอง ปี 2558

โรงเรียนมัธยมตากสินระยอง...ปีนี้จัดงานกีฬาสีได้ยิ่งใหญ่กว่าทุก ๆ ปี  มีนักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมแทบทุก ๆ คนเลยทีเดียว

   ครั้งแรกที่กระผมได้เห็นการตั้งขบวนเพื่อเดินรอบ ๆ นอกของโรงเรียนเพื่อแสดงต่อหน้าสาธารณะชนนั้น กระผม "ตกใจ" และ "ตื่นเต้น" มาก

   นักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมงานกีฬาสีของโรงเรียนที่ออกมาเดินขบวนทุก ๆ คนแต่งตัวได้ "สวยงาม" มาก  ทำให้ตื่นเต้นและเร้าใจเป็นยิ่งนัก

   ชุดที่นำมาแต่งก็ "เหมาะสม" กับข้อความที่เขียนขึ้นกำกับ


***จะมาเล่าต่อ   ครั้งหน้าละกันครับ ***

วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ทุเรียนสวนทับไทร จันทบุรี

ฤดูกาลเก็บเกี่ยว "ทุเรียน" ของสวนทับไทร จันทบุรีของเราครบรอบอีกหนแล้ว ปี 2558 นี้ ราคาทุเรียนกลับมาแพงอีกครั้ง หลังจากที่ราคาของเกษตรโดยเฉพาะทุเรียนตกต่ำมาหลายปีมาก

นับว่าเป็นรอบวัฏจักรของสิ่งของต่าง ๆ รอบโลกที่มักเป็นอย่างนี้หมุนเวียนกันไป  หมายถึง "มีขึ้น-มีลง" นั่นเอง

หากจะย้อนไปเมื่อซัก 23 ปีก่อน กระผมเองจำได้ว่า ราคาของทุเรียน "พันธ์ุหมอนทอง" จะกิโลกรัมละ 80 บาท ซึ่งราคาก็เท่ากับปัจจุบัน  แต่หลังจากที่ราคาขึ้นไปสูงสุดแล้ว ราคาก็เริ่มตกลงมาเรื่อย ๆ จึงสักเมื่อ 4 ปีที่แล้วราคากิโลกรัมละ 25 บาท

เหตุใต....ถึงเป็นไปได้เยี่ยงนี้


(โอกาสหน้าจะกลับมาเล่า  ให้ฟัง...เน้อ)

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ความชุ่ยของช่างไทย

งานก่อสร้างหรืองานฝีมือของคนไทย  หลายต่อหลายครั้งมักจะพบว่าแค่ "ทำได้" ไม่ใช่ "ทำเป็น  และส่วนใหญ่จะ "ขี้โม้" มากกว่า "ทำได้จริง"

มันเป็น "สันดาน" ของคน (ไทย) ส่วนใหญ่ซะแล้ว ....(ความหมายของคำว่าส่วนใหญ่  ในที่นี้คือเกินครึ่ง)


....จะมาต่อ เมื่อยามว่าง  จ้า...

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ขาดระเบียบวินัยของคนไทย

กล่าวโดยรวม ๆ ว่า "ความไม่มีระเบียบวินัย" ของคนไทยทำให้การทำสิ่งใดหลาย ๆ อย่าง "ไม่บรรลุ" ความสำเร็จอย่างบ้านเมืองที่เจริญแล้วซะที

หรืออีกนัยหนึ่ง "ความเห็นแก่ตัว....เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน" จึงไม่มองถึงประโยชน์ส่วนรวมที่ควรจะได้รับ  คล้าย ๆ "มือใครยาว  สาวได้สาวเอา"  ตามสุภาษิตโบราณเป๊ะ


(จะมาต่อครั้งหน้า...นะจ๊ะ)

วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2558

Songkran Festival in Thailand

เทศกาลสงกรานต์ประจำปี 2558 ของเมืองไทยก็เวียนมาครบอีกครั้งแล้ว  หลายต่อหลายคนมีความสุขกับเทศกาลสำคัญเยี่ยงนี้แน่ ๆ

อีกมุมหนึ่งของคนที่คิดหลายด้าน "อาจจะ" มองว่า ....นี่ฉันแก่...ไปอีกปีแล้วหรือ (แน่นอน ..หลาย ๆ คนกังวลมาก)


โอกาสหน้า...จะมาบรรยายต่อถึงความสนุกกับเทศกาล...บ้านเฮา   ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2558

คนที่เกิดตามยุคต่าง ๆ (multi generation)


สังคมไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มขั้น สวนทางกับอัตราการเกิดที่มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากผู้หญิงยุคใหม่เป็นเวิร์กกิ้งวูแมนมากขึ้น สนใจเรื่องการทำงานมากกว่าคิดจะมีครอบครัว สาวโสดก็เลยครองเมืองกันเพียบ นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้โครงสร้างประชากรไทยกำลังค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป และดูเหมือนว่า ในอนาคตเราอาจจะเผชิญกับสภาวะที่ขาดแคลนแรงงานก็เป็นได้

อย่างไรก็ตาม จริง ๆ แล้ว โครงสร้างของสังคมมีการเปลี่ยนแปลงมาตลอดทุกยุคทุกสมัยอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจในช่วงนั้นที่เป็นแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และคนในแต่ละยุค แต่ละสมัยก็จะมีพฤติกรรม ความคิด ทัศนคติ ไลฟ์สไตล์ ความรู้ความสามารถ ค่านิยม การบริหารจัดการที่แตกต่างกันออกไป ทางสหรัฐอเมริกา และโลกตะวันตก จึงได้จัดแบ่งกลุ่มคนออกเป็นรุ่นต่าง ๆ 8 เจเนอเรชั่น ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเกณฑ์การจัดแบ่งรุ่นนี้ก็เป็นที่นิยมใช้กันไปทั่วโลกด้วย  
...ลองไปตรวจสอบกันดูซิว่า ครอบครัวของคุณ และตัวคุณเอง อยู่ในรุ่นไหนบ้าง และมีอุปนิสัยคล้ายกับข้อมูลต่อไปนี้หรือไม่  



1. Lost Generation  ประชากรยุคแรกที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2426-2443 หรือในช่วงทศวรรษที่ 80 ปัจจุบันคนกลุ่มนี้เสียชีวิตไปหมดแล้ว จึงถูกตั้งชื่อว่า "Lost Generation" เหตุการณ์ที่สำคัญที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนยุคนี้ก็คือ การเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1  

2. Greatest Generation 
Greatest Generation หรือที่รู้จักกันว่า G.I. Generation คนกลุ่มนี้เกิดในช่วงปี พ.ศ. 2444-2467 คือยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกเขาจึงกลายมาเป็นกำลังหลักของการต่อสู้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสงครามสงบ เกิดสภาพเศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลก คนรุ่นนี้จึงเป็นกำลังสำคัญในการฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจให้กลับมาดีขึ้นอีกครั้ง  
ผู้คนในยุคนั้นจะมีความเป็นทางการสูง ผู้ชายจะใส่สูทผูกเนคไทเมื่อออกจากบ้าน คนในสังคมจะมีแบบแผนปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน คือ มีความคิด ความเห็น ความเชื่อเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เชื่อมั่นรัฐบาล อำนาจรัฐ มีจิตสำนึกความเป็นพลเมืองร่วมกัน 

3. Silent Generation หมายถึงคนที่เกิดในช่วง พ.ศ. 2468-2488 ประชากรรุ่นนี้จะมีไม่มากเท่ารุ่นอื่น ๆ เพราะเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดี และหลังจากนั้นก็เข้าสู่ยุคเศรษฐกิจตกต่ำ ดังนั้น ผู้คนจึงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก ต้องทำงานหนักในโรงงาน หามรุ่งหามค่ำ คนรุ่นนี้จึงมีความเคร่งครัดต่อระเบียบแบบแผนมาก มีความจงรักภักดีต่อนายจ้าง และประเทศชาติสูง เคารพกฎหมาย เป็นยุคที่ผู้หญิงเริ่มออกมาทำงานนอกบ้านกันมากขึ้น กระทั่งเวลาผ่านไป เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว คนในรุ่นนี้จึงได้รับโอกาสมากขึ้น มีช่องทางการสร้างกิจการของตัวเอง รวมทั้งมีบทบาทในการพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ เป็นรากฐานจนถึงปัจจุบันนี้  

4. เบบี้บูมเมอร์ (Baby Boomer)  เบบี้บูมเมอร์ (Baby Boomer) หรือ Gen-B หมายถึงคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2489 – 2507 หรือในยุคสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 สาเหตุ ที่เรียกว่า "เบบี้บูมเมอร์" ก็เพราะว่าหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง บ้านเมืองที่ผ่านการสู้รบได้รับความเสียหายอย่างหนัก ประชากรที่เหลืออยู่ในแต่ละประเทศจึงต้องเร่งฟื้นฟูประเทศให้กลับมาแข็ง แกร่งมั่นคงอีกครั้ง แต่ทว่า...สงครามที่ผ่านพ้นไปก็ได้คร่ากำลังพล และแรงงานไปเป็นจำนวนมาก ประเทศเหล่านี้จึงขาดแรงงานในการขับเคลื่อน ประเทศ คนในยุคนั้นจึงมีค่านิยมที่จะต้องมีลูกหลาย ๆ คน เพื่อสร้างแรงงานขึ้นมาพัฒนาประเทศชาติ จึงเป็นที่มาของคำว่า "เบบี้บูมเมอร์" นั่นเอง 

ปัจจุบันนี้ คนยุคเบบี้บูมเมอร์คือคนที่มีอายุตั้งแต่ 49 ปีขึ้นไป และเริ่มเข้าสู่วัยชราแล้ว คนกลุ่มนี้จึงเป็นคนที่มีชีวิตเพื่อการทำงาน เคารพกฎเกณฑ์ กติกา มีความอดทนสูง ทุ่มเทให้กับการทำงานและองค์กรมาก สู้งาน พยายามคิดและทำอะไรด้วยตัวเอง เป็นเจ้าคนนายคน ถูกครอบครัวสั่งสอนมาให้เป็นคนประหยัด อดออม จึงมีการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ และระมัดระวัง คน ในยุคอื่น ๆ อาจจะมองคนยุคเบบี้บูมเมอร์ว่าเป็นพวก "อนุรักษนิยม" เป็นคนที่เคร่งครัดในขนบธรรมเนียมประเพณี แต่คนกลุ่มนี้ถือว่าน่าจะมีจำนวนมากที่สุดในสังคมปัจจุบันเลยทีเดียว 

เหตุการณ์สำคัญที่คนในรุ่นนี้เคยประสบ หรือเคยได้ยินก็คือ ข่าวความสำเร็จของการส่งนักบินอวกาศไปเหยียบดวงจันทร์ ข่าวการทำสงครามเวียดนาม เป็นต้น 

5. เจเนอเรชั่น เอ็กซ์ (Generation X) หลัง จากยุคเบบี้บูมเมอร์ส่งผลให้เด็กเกิดมากขึ้น ปัญหาที่ตามมาก็คือ ทรัพยากรที่มีอยู่ในโลกนี้ไม่เพียงพอที่จะจัดสรรให้ได้ทุกคน เมื่อเป็นเช่นนี้ ประชาชนจึงกลับมานั่งคิดว่า หากไม่ควบคุมอัตราการเกิดไว้ สุดท้ายแล้วคนทั้งโลกก็จะขาดแคลนอาหาร ดังนั้น จึงเกิดเป็นยุค "เจเนอเร ชั่น เอ็กซ์" (Generation X) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า "Gen-X" ที่เป็นกระแสตีกลับจากยุคเบบี้บูมเมอร์ มีการควบคุมอัตราการเกิดของประชากร อย่างเช่นในประเทศจีนก็มีการรณรงค์ให้คนมีลูกได้เพียง 1 คนเท่านั้น  

คนยุคนี้จะเกิดอยู่ในช่วงปี พ.ศ. 2508-2522 อาจเรียกอีกชื่อว่า "ยับปี้" (Yuppie) ที่ย่อมาจาก Young Urban Professionals เพราะ เกิดมาพร้อมในยุคที่โลกมั่งคั่งแล้ว จึงใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย เติบโตมากับการพัฒนาของวิดีโอเกม, คอมพิวเตอร์, สไตล์เพลงแบบฮิปฮอป และอาจทันดูทีวีจอขาวดำด้วย ค Gen-X เป็นคนวัยทำงาน มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไปแล้ว พฤติกรรมของคนกลุ่มนี้ที่เด่นชัดมากก็คือ ชอบอะไรง่าย ๆ ไม่ต้องเป็นทางการ ให้ความสำคัญกับเรื่องความสมดุลระหว่างงานกับครอบครัว (Work–life balance) มีแนวคิดและการทำงานในลักษณะรู้ทุกอย่างทำทุกอย่างได้เพียงลำพังไม่พึ่งพาใคร เป็นตัวของตัวเองสูง มีความคิดเปิดกว้าง มีความคิดสร้างสรรค์  


อย่างไรก็ตาม หลายคนใน Gen-X มีแนวโน้มที่จะต่อต้านสังคม ไม่ได้เชื่อเรื่องศาสนา และ ไม่ได้ยึดขนบธรรมเนียมประเพณีมากนัก เป็นคนที่มีความยืดหยุ่นในการปรับตัวกับวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไป อย่างเช่นมองว่าการอยู่ก่อนแต่ง หรือการหย่าร้างก็เป็นเรื่องปกติ เช่นเดียวกับเรื่องเพศที่ 3 ซึ่งต่างจากกลุ่มเบบี้บูมเมอร์ที่มองเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องผิดจารีตประเพณี เป็นอย่างยิ่ง 

6. เจเนอเรชั่น วาย (Generation Y) ถัดจากยุค Gen-X ก็คือ ยุคเจเนอเรชั่นวาย (Generation Y) หรือ ยุค Millennials ซึ่งก็คือคนที่เกิดอยู่ในช่วงปี พ.ศ. 2523–2540 คนกลุ่มนี้เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง และค่านิยมที่แตกต่างระหว่างรุ่นปู่ย่าตายาย กับ รุ่นพ่อแม่ แต่ก็รับเอาความเจริญรุดหน้าของเทคโนโลยี และอินเทอร์เน็ตเข้ามาแทรกอยู่ในการดำรงชีวิตประจำวันด้วย  

ยุคนี้จะเป็นยุคที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตเป็นอย่างมาก ทำให้พ่อแม่ที่ค่อนข้างจะประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วจะดูแลเอาใจใส่ลูก ๆ เป็นอย่างดี เด็กยุคนี้จึงมักจะถูกตามใจตั้งแต่เด็ก ได้ในสิ่งที่คนรุ่นพ่อแม่ไม่ค่อยได้ มีการศึกษาดี มีลักษณะนิสัยชอบการแสดงออก มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ชอบถูกบังคับให้อยู่กรอบ ไม่ชอบอยู่ในเงื่อนไข ชอบเสพข่าวสารผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่หลากหลาย มีอิสระในความคิด กล้าซัก กล้าถามในทุกเรื่องที่ตัวเองสนใจ ไม่หวั่นกับคำวิจารณ์ มีความเป็นสากลมาก มองว่าการนิยมชมชอบวัฒนธรรม หรือศิลปินต่างชาติเป็นเรื่องธรรมดา  

ปัจจุบัน คนกลุ่มนี้อยู่ในทั้งช่วงวัยเรียน และวัยทำงาน และจากการที่ยุคนี้เป็นยุคที่มีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงไม่น่าแปลกใจที่คนกลุ่มนี้จะมีความสามารถในการทำงานที่เกี่ยวกับการ ติดต่อสื่อสาร ชอบงานด้านไอที ใช้ความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ รวมทั้งสามารถทำอะไรหลาย ๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน เรียกได้ว่าสามารถใช้เครื่องมือเครื่องไม้ได้อย่างคล่องแคล่ว อย่างที่เราอาจจะเคยเห็นภาพคนยุคใหม่ที่นั่งเล่น iPad ไปด้วย คุยโทรศัพท์ไปด้วย แถมบางคนยังกินข้าวไปพร้อม ๆ กันด้วยอีกต่างหาก  

ในเรื่องการทำงาน คนกลุ่มนี้ต้องการความชัดเจนในการทำงานว่าสิ่งที่ทำมีผลต่อตนเองและต่อหน่วย งานอย่างไร และชอบทำงานเป็นทีม ต่างจากกลุ่ม Gen-X ที่ชอบวันแมนโชว์มากกว่า เพราะคนในวัย Gen-X จะถูกฝึกมาแบบนั้น ต่างจากวัย Gen-Y ที่เติบโตมาพร้อมกับการประชุม การระดมความคิดเห็น แต่ทว่าคนกลุ่มนี้จะไม่ค่อยอดทนเหมือนรุ่นพ่อรุ่นแม่นัก หวังที่จะทำงานได้เงินเดือนสูง ๆ แต่ไม่อยากไต่เต้าจากการทำงานข้างล่างขึ้นไป คาดหวังในการทำงานสูง ต้องการคำชม กลุ่ม Gen-Y มักจะจัดสรรเวลาให้งานและชีวิตส่วนตัวในจุดที่สมดุลกัน พอหลังเลิกงานอาจไปทำกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อสร้างความสุขให้กับตัวเอง เช่น ไปเล่นฟิตเนส ไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง จะไม่ค่อยหมกมุ่นอยู่กับงานเหมือนกับคนรุ่นก่อน 

นอกจากนี้ กลุ่ม Gen-Y จะเป็นคนมองโลกในแง่ดี มีใจช่วยเหลือสังคม รักษาสิ่งแวดล้อม มีความสัมพันธ์ที่ดีและแน่นแฟ้นกับพ่อแม่ 

7. เจเนอเรชั่น ซี (Generation Z) Gen-Z คือ คำนิยามล่าสุดของคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบัน หมายถึงคนที่เกิดหลัง พ.ศ. 2540 ขึ้นไป เทียบ อายุแล้วก็คือวัยของเด็ก ๆ นั่นเอง เด็ก ๆ กลุ่ม Gen-Z นี้ จะเติบโตมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายที่อยู่แวดล้อม มีความสามารถในการใช้งานเทคโนโลยีต่าง ๆ และเรียนรู้ได้เร็ว เพราะพ่อแม่ใช้สิ่งเหล่านี้อยู่ในชีวิตประจำวัน แต่สิ่งหนึ่งที่เด็กรุ่น Gen-Z แตกต่างจากรุ่นอื่น ๆ สมัยที่ยังเป็นเด็กอยู่ก็คือ เด็กรุ่นนี้จะ ได้เห็นภาพที่พ่อและแม่ต้องออกไปทำงานทั้งคู่ ต่างจากรุ่นก่อน ๆ ที่อาจจะมีพ่อออกไปทำงานคนเดียว ด้วยเหตุผลนี้ เด็ก Gen-Z หลาย ๆ คนจึงได้รับการเลี้ยงดูจากคนอื่นมากกว่าพ่อแม่ของตัวเอง 

และนอกจาก 7 เจเนอเรชั่นที่บอกไปแล้ว ปัจจุบันนี้ยังมีคำนิยามเพิ่มขึ้นมาอีก 1 กลุ่ม แต่ไม่ได้จัดอยู่ร่วมกับ 7 เจเนอเรชั่นข้างต้น คือ กลุ่ม "Gen-C" เป็นคำใหม่ที่ Google และ Nielsen บัญญัติ ใช้สำหรับเรียกกลุ่มคนยุคใหม่ที่ไม่ได้แบ่งตามอายุเหมือน 7 เจเนอเรชั่นข้างบน แต่จัดกลุ่มตามพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ต และโซเชียลเน็ตเวิร์ก 

ทั้งนี้ คนที่จะถูกจัดเข้ากลุ่ม Gen-C นั้น ก็คือคนกลุ่ม Baby Boommer และ Gen-X ที่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง หันมาสนใจเทคโนโลยีมากขึ้น ไปจนถึงขั้นเสพติดการเชื่อมต่อ แต่ไม่รวมคนกลุ่ม Gen-Y เป็นพวก Gen-C ด้วย นั่นเพราะคนกลุ่ม Gen-Y ปกติก็จะมีการเชื่อมต่อโลกไร้สายเป็นประจำอยู่แล้ว ต่างกับคนกลุ่ม Baby Boommer และ Gen-X ที่ในอดีตแทบไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย แต่เมื่อเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีมากขึ้น พฤติกรรมของคนเหล่านี้จึงต้องเปลี่ยนไปตามโลก

สำหรับคน Gen-C นั้นนักการตลาด นักธุรกิจ ผู้บริหารองค์กรต่าง ๆ จะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากทีเดียว เพราะจะช่วยทำให้พวกเขาได้เรียนรู้และเข้าใจบุคคลในวัยต่าง ๆ ได้ดีขึ้น เพื่อประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเรื่องต่าง ๆ ส่วนตัวเราเอง การได้เข้าใจสิ่งเหล่านี้ก็จะช่วยลดช่องว่างระหว่างวัยในครอบครัว และลดช่องว่างในสังคมการทำงานได้ดีเลยล่ะ 

น จะมีนิสัยที่เห็นเด่นชัดมาก ๆ คือ จะมีการเชื่อมต่อตลอดเวลา มีการอัพเดทข้อมูล สนใจข่าวสารที่ได้รับรู้มาในโลกไซเบอร์ พร้อมจะแชร์ต่อทุกเมื่อ ติดตามดูคลิปในยูทูบมากกว่านั่งดูโทรทัศน์ เหมือนกับสังคมออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของตัวเองไปแล้ว และคนกลุ่มนี้ก็ยังกลายมาเป็นผู้ขับเคลื่อนวัฒนธรรมใหม่ ๆ ด้วย 

อย่างไรก็ตาม คนกลุ่ม Gen-C นี้ แม้จะชอบโพสต์ข้อความมากมาย แต่ก็จะโพสต์ด้วยความระมัดระวังกว่าคน Gen-Y ที่อาจจะโพสต์ตามอารมณ์มากกว่า ต่างกับคน Gen-C ที่จะโพสต์เพื่อแบ่งปันความรู้ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร ฯลฯ 

ถ้าเราลองเหลียวมองไปรอบ ๆ ตัว เซึ่งราก็จะได้พบกับคนรุ่นต่าง ๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันก็คือ Baby Boomer, Gen-X, Gen-Y และ Gen-Z 

วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

วันเกิดน้องญา กุมภาพันธ์ ปี 2558

เดือนกุมภาพันธ์ ของปี 2558 เป็นปีที่ครบรอบ "คล้าย" วันเกิดของ "น้องญา" อีกรอบแล้ว  เดือนนี้มีวันที่หลาย ๆ คนอยากจะมาให้ถึงหรือมีความสำคัญ ๆ ด้วยอีกวันของเดือนนี้

หลายปีที่ผ่านมา "น้องญา" ก็เติบโตขึ้นไปเรื่อย  ...บัดนี้....ตัวก็ใหญ่ขึ้นไปอีกอย่างมากมาย

วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2558

Happy New Year 2015

สวัสดีปีใหม่ 2558 บรรยากาศการจัดงานปีนี้เป็นไปอย่างสนุกสนานเช่นเคย

เพียงแต่ล่าช้าไป 3 วัน เพราะต้องรอให้ทุก ๆ อย่างลงตัวก่อน เนื่องจากต่างคนก็ต่างมีภาระที่ต้องสะสางกันบ้าง

แต่ทุก ๆ อย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี สำหรับแผนการนั้นได้วางไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ...ไผ..จะต้องทำอะไรกันบ้าง

ฉะนั้น...สิ่งที่ต้องตระเตรียมกันของแต่ละคนจึงทำให้  "ลุล่วง" ไปได้ด้วยดีตามเป้าหมาย


จะเล่าต่อ...เด้อ