เมื่อเราจะเดินทางไกล ๆ ก็มันจะเดินทางโดยเครื่องบิน นั่นจึงเป็นขั้นตอนของการจองตั๋วเครื่องบิน
ครอบครัวเราจะเดินทางไปท่องเีืที่ยวยังประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 19-31 มีนาคม 2556
เราเลือกใช้สายการบินไทย ซึ่งเป็นการสนับสนุนเงินต่าง ๆ ให้หมุนเวียนอยู่ในเมืองไทย (จะได้ไม่หลั่งไหลออกนอกประเทศ)
ดังนั้น เราจึงต้องไปดำเนินการเรื่องจองที่นั่งกันที่
"สยามพารากอน" จริงแล้วสยามพารากอนครอบครัวของกระผมก็แค่
"ผ่าน" เท่านั้น ไม่ได้ไปเผากับเขานะ ก็ไม่รู้จะเผาบ้านเผาเมืองทำไม
เราเิดินทางออกจากระยองตอนเช้า ๆ โดยนำรถไปจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิ (นี่ก็ไม่ไ้้่ด้ไปจอดที่สนามบินนะ เป็นสถานที่จอดรถ งั้นเดี๋ยวขวางเส้นทางบินเขา)
แล้วขึ้นรถไฟฟ้าเข้าเมืองไป ซึ่งเป็นความสะดวกอีกแบบ แต่ก็ต้องจ่ายค่าความสะดวกนั้นเพื่อแลกเปลี่ยนกัน
ในขณะที่เดินทางไปยัง "สยามพารากอน" นั้นก็ได้ชมวิวทิวทัศน์ที่อยู่รอบด้านภายในกรุงเทพมหานครได้อย่างสบายอก สบายใจในมุมสูง
เป็นการยากถ้าขับรถแล้วจะมองมุมสูงให้เห็นได้ตลอดเวลา การขึ้นรถไฟฟ้านี่แหละจะสามารถเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ในมุมสูงดียิ่งขึ้น
คนที่นำทางไปนั้นคือ "คุณแม่อ้อย" ค่ะ นำทางได้เสมือนว่าเป็นคน "กรุงเตพ" เลย (กระผมไม่อยากบอกที่มานะ)
เรื่องสถานที่ว่าจะไปที่ใดที่ไหนนั้น
"เจ๊อ้อย" จะเป็นคนหาเส้นทางให้ ผมเพียงตั้ง "GPS" นำทางไปเท่านั้นก็จะถึงจุดหมายเอง
ไม่ยากครับ ถ้าเราศึกษาเส้นทางให้ละเอียดก่อนเดินทาง ทำให้เราสามารถกำหนดเป้าหมายได้ทั้งเวลาที่จะถึง และเส้นทางที่จะเดินทางไป
ครั้งนี้เป็นเครื่องบินขนาดใหญ่ คือ A-380 เป็นเครื่องบินที่มีความจุตามปกติถึง 800 ที่นั่ง เพียงแต่สายการบินไทยลดจำนวนที่นั่งลงเหลือไม่น่าเกิน 500 ที่นั่ง (จะดูข้อมูลเพิ่มเติม)
เรียกว่าเอาใจคนที่จะใช้บริการชั้น 1 และ ชั้น 2 โดยทำสถานที่ให้ "กว้าง" ขึ้นกว่าที่ควรเป็น แต่...ต้องจ่ายเพิ่มเพื่อแลกกับพื้นที่ที่ไ้ด้เพิ่มมา (คงไม่มีของฟรีให้แน่ ๆ)
เครื่องบินขนาด A-380 นั้นไม่ใช่การบินไทยมีใช้ประเทศแรก มีใช้มาหลายปีแล้ว
ซึ่งเมื่อสองปีก่อน ครอบครัวอยู่เย็นได้ใช้บริการเครื่องบินขนาด A-380 นี้โดยไปท่องเที่ยวที่ประเทศฮ่องกง+มาเก๊า ซึ่งเป็นสายการบินของ "อาหรับเอมิเรสต์"
ท่านสามารถติดตามเรื่องราวนั้นได้ตามนี้ครับ <iframe width="560" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/OdSyIPXsEf8" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
สายการบินในโลกนี้มีสองเจ้าใหญ่ที่แข่งขันกัน คือ ค่าย A กับค่าย โบอิ้ง ... โดยค่าย "โบอิ้ง" จะมีเครื่องบินโดยสารที่ใหญ่สุดในปัจจุบัน (ปี 2556) คือ โบอิ้ง 747 ก็บรรทุกผู้โดยสารไ้ด้ตามตัวเลขที่ปรากฏคือ 747 ที่นั่ง
เครื่องบิน A-380 เป็นชนิด 2 ชั้น ถ้ามองด้านข้างจะเป็นที่นั่งสองแถวแยกเป็นสองชั้น คล้าย ๆ รถบัสสองชั้นเลย
ภายในชั้นล่างจะแยกที่นั่งเป็นสองแถว คือ 3-4-3 เมื่อเข้าไปภายในเครื่องบินแล้วจะรู้สึก "โอ่โถง" มาก ปีกแต่ละข้างจะยางประมาณ 50 ม. ได้ (นี่ไม่ใช่สเป็กจริงนะ ผมแค่ประมาณ)
วันที่ไปจองตั๋วเครื่องบินนั้น มันเป็น "โปรโมชั่น" แรก ๆ เลย คือโปรโมชั่นนั้นเป็นการ "ลดราคา" เพื่อดึงดูดใจนักท่องเที่ยว หรือจะต้องมีคนมาซื้อตั๋วเครื่องบินฉั้นแน่ ๆ ว่างั้นเถอะ
ราคาที่นำเสนอขายนั้นจะต่ำกว่าราคาปกติอยู่เกือบครึ่ง นั่นเพราะคล้าย "โยนหินถามทาง" โดยถ้าเปิดขายราคาต่ำแล้วยังไม่มีคนมาซื้อตั๋วบินอีกล่ะก็ "แย่แน่ ๆ"
สำหรับ..สามแม่ลูกนี้ "ชอบมาก" กับสายการบินไทย เพราะเป็นสายการบินของคนไทยกันเอง
แหละสายการบินไทยนั้นถือว่า "บริการบนเครื่องบิน" ได้สุดยอดมาก ติดอันดับต้น ๆ หรือบางปีก็อันดับหนึ่งเลยเชียว
ค่าบริการเดินทางนั้นเป็นปัจจัยหนึ่ง แต่..การบริการจะเป็นปัจจัยหลักในปัจจุบัน สายการบินใดที่การบริการไม่ค่อยดี ก็จะลดราคาเพื่อแข่งขันกับสายการบินอื่น ๆ
ไม่งั้น ...ซี้แหง..แก๋
ผู้คนที่ไปซื้อบัตรซื้อตั๋วการบินไทยวันนั้นมีเยอะมาก การบินไทยเปิดจองตั๋วบินหลายวันแล้วแหละ เพียงแต่เราว่างที่จะไปจองตั๋วบินวันนี้เท่านั้น
เมื่อไปถึงสถานที่เขาบอกว่า ..
สามารถจ่ายตั๋วบินที่สาขาพัทยาก็ได้ เพียงแต่เราสมัครใจไปจ่ายที่สยามพารากอน เพราะจะเ้ข้าไปชมสิ่งของในห้างนั้นด้วย
สำหรับ "น้องนนท์ นั้นตื่นเต้นกับการที่จะได้นั่งเครื่องบินลำใหญ่ที่เป็นของสายการบินไทยเป็นอย่างยิ่ง
น้องนนท์และน้องนิ้ง..พูดว่า มันจะเหมือนกับของ
"อาหรับเอมิเรตส์" มั้ยน้อ อยากจะนั่งให้เร็ว ๆ เสียเหลือเกินแล้วเนี๊ยะ
บริเวณที่ซื้อตั๋วเครื่องบินจะมีจัดเป็นสถานที่นั่งของผู้โดยสารชั้นหนึ่งไว้อยู่หนึ่งที่นั่ง เพื่อให้ผู้โดยสายได้ลองสัมผัสกับสถานที่จริงว่า
ถ้าท่านซื้อบริการชั้นหนึ่งนั้นท่านจะได้ที่นั่งแบบนี้ ..จะสะดวกสบายแบบนี้ โดยที่นั่งชั้นหนึ่งนั้นจะ "โอ่โถงมาก" ค่าบริการก็จะสูงกว่าชั้นประหยัดประมาณ 3 เท่าตัว
สายการบินไทยนั้นมีข้อดีคือ..บริการตลอดเสริฟอาหารและเครื่องดื่มตลอดเวลา จนกว่าท่านจะบอกว่า "พอแล้วครับ..ค่ะ"
นี่คือความประทับใจของสายการบินไทยที่ติดอันดับการบริการแนวหน้า เท่าที่สังเกตุดูนั้นในเรื่องการบริการจะดีมาก ๆ แต่องค์การภายในของคนไทยจะไม่ค่อยเท่าไรเลย
อย่างเช่นการบินขึ้นหรือลงใน ระดับหรือขั้นของเครื่องบินจะต้องแม่นในเรื่องเวลา แต่สำหรับการบินไทยที่บินในประเทศไทยจะไม่ค่อยตรงเวลา
เพราะเขาคิดว่าตรงเวลาก็เท่านั้น แต่ถ้าไปบินกับสนามบินต่างประเทศเขาก็จะตรงเวลา
ป้ายที่โชว์ว่า
"A-380" นั้นผมว่า ..
เด่นมาก ๆ.. อาจจะด้วยสีที่ใช้เป็น
"สีม่วง" ที่สีประจำการบินไทย จึงทำให้สีนี้ตัดกับสีอื่นได้แบบสดใสมากเลย
เครื่องบิน A-380 ใช้เครื่องยนต์จำนวน 4 ตัว ถ้าเป็นเครื่องบินรุ่นก่อนนั้นจะใช้เครื่องยนต์จำนวน 2 ตัว เหตุที่ใช้เครื่องยนต์ถึง 4 ตัว นั้นก็เพราะน้ำหนักที่มากขึ้น (มีจำนวนโดยสารสองชั้น) ขนาดตัวเครื่องบินใหญ่ขึ้น (หน้าตัดมาก) ดังนั้นจึงต้องใช้ "ม้า" มาลากเยอะขึ้น
ส่วนเครื่องบินที่มีการนั่งเพียงชั้นเดียวก็จะใช้เครื่องยนต์เพียง 2 ตัวเท่านั้น ถ้าเปรีียบเทียบเรื่องความเร็วก็คือ..ใกล้เคียงกัน โดยจะบินความเร็วประมาณ 1,000 กม./ชม.
เหตุใดถึงต้องทำให้บรรจุผู้โดยสารให้เยอะขึ้นล่ะ ก็จะได้ "ลดต้นทุน" ไง โดยบรรทุกได้คราวละเยอะ ๆ การใช้เชื้อเพลิงของเครื่องบินจะไม่ใช่แบบเทียบเท่ากัน จึงทำให้ลดต้นทุนได้
มุมมองบินเครื่องบินนั้นจะสวยถ้าบินตอนกลางวัน โดยที่แสงไม่ส่องเข้าเครื่องเป็นแนวนอนนะ ถ้าแสงแดดส่องในแนวนอนจะสว่างมาก แต่ที่กระจกจะมีม่านให้ดึงลงมาเพื่อบังแดดได้
และยิ่งบินเหนือเมฆด้วยนะ ภาพที่เห็นจะประทับตาประทับใจเป็นอย่างมาก และจะให้แจ๋วต้องนั่งริมหน้าต่างด้วยนะจ๊ะ ถ้านั่งตรงกลางก็นั่งหลับรอได้เลย
ฉะนั้น..ถ้าอยากได้มุมที่สวย ๆ และให้ตื่นเต้นประทับใจตลอดการเดินทาง ต้องจองที่นั่งเสียแต่ิเนิ่น ๆ เด้อ
เมื่อจองตั๋วเครื่องบินเสร็จแล้วเราก็เดินทางกลับ ช่วงเดินทางกลับนั้นมีงานโชว์รถยนต์เล็ก เป็นของยี่ห้อ BMW เราจึงเข้าไปถ่ายรูปร่วมกับรถยนต์ยี่ห้อนี้ซักหน่อย
รถอะไร "หรูหรา" และ "น่าใช้" ยิ่งนัก คุณสมบัติเป็นรถที่สมรรถนะสูง เน้นด้านความปลอดภัย
รถยนต์ยี่ห้อ BMW เป็นสินค้าของประเทศเยอรมัน BMW เป็นสินค้าของแคว้นบาวาเรีย ซึ่งตั้งอยู่ตอนใต้ของประเทศเยอรมัน
รถ BMW ได้ชื่อว่าเป็นรถที่วิ่งเร็วที่สุดบนถนน "ออโต้บาห์น" รถยนต์ยี่ห้อนี้จะเน้นเรื่องสมรรถนะเป็นสำคัญ
เรื่องความนุ่มนวลเป็นรอง อาจจะกล่าวว่า "เด็กแนว" ก็ได้ ไอ้กระผมเองก็เข้าไปเยี่ยมชมศูนย์ผลิตรถยนต์ยี่ห้อนี้มาแล้ว รู้สึกประทับใจกับยี่ห้อรถนี้มาก
เพียงแต่ว่า..เมื่อใช้ในประเทศไทยแล้ว คนไทยไม่ค่อยชอบยี่ห้อเท่าไร จะชอบอีกยี่ห้อซะมากกว่า
ซึ่งอีกยี่ห้อนั้นจะตั้งอยู่อีกเมือง ซึ่งกระผมไม่ได้ไปเยี่ยมชม แต่อีกยี่ห้อที่คนไทยชอบนั้่น ทำเป็น "รถแท๊กซี่" เยอะมาก
ครั้นเมื่อเดินออกมาสู่ด้านนอกของห้างพารากอน เรายืนชมผู้คนและสิ่งสวยงามด้านล่างกันซักหน่อย โดยเขาจัดหรือตกแต่งสถานที่ภายนอกไว้ได้สวยงามมาก
โดยตัวกระผมเองจะเคยเห็นเพียงตอนที่นั่งในรถไฟฟ้าเท่านั้น เพราะรถไฟต้องวิ่งผ่านด้านหน้าห้างนี้อยู่แล้ว
ห้างแห่งนี้เป็นสถานที่รวมของเหล่าวัยรุ่น หรือวัยอื่น ๆ ได้ด้วย ถือว่าโด่งดังมากในปัจจุบันนี้
ในระแวกเดียวกันนั้นมีห้างที่ดัง ๆ หลายแห่งด้วยกัน
ครอบครัวเราก็ต้องเดินทางกลับบ้านล่ะคราวนี้ ซึ่งก็นั่งรถไฟฟ้าย้อนกลับทางเดิม ผู้คนที่มาห้างนี้ก็เยอะมาก หรือว่ากระผมไม่ชินกับที่มีคนเยอะแยะแบบนี้ก็ไม่ทราบ
เนื่องจากเราเป็นคน "บ้านนอก" ไง หรือ "Native" นั่นแหละ เคยแต่เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย จึงชินกับความเวิ้งว้าง (..ว่าเข้าให้..)
กว่าจะขึ้นรถไฟฟ้าและออกมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิได้ก็เกือบจะสองชั่วโมง เพราะมัวแต่ "เตร็ตเตร่" ระแวกนั้นไง
ไปซื้อตั๋วรถไฟ JR Pass ของประเทศญี่ปุ่น
เืมื่อถึงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2556 ครอบครัวเราก็ต้องไป กทม.
โดยไปที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้ไปซื้อตั๋วของรถไฟที่มีความเร็วสูงในประเทศญี่ปุ่น นั่นคือ "รถไฟ ซินกันเซน"
ถ้าไปท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นนั้นจะให้ถึงรสชาดต้องได้นั่งรถไฟหัวกระสุนความเร็วสูงนี้ด้วยจึงจะครบอรรถรสการเดินทาง
เป็นรถไฟที่ "เงียบ" และ "เร็ว" ซึ่งประเทศญี่ปุ่นพัฒนาเพื่อที่ใช้แข่งขันกับเครื่องบิน
ไม่ใช่แข่งขันในเรื่องความเร็ว แต่แข่งขันในเรื่อง "ความสะดวก" และ "รวดเร็ว" ในการบริการ ซึ่งถ้าท่านได้บัตรได้ตั๋วแล้ว
ก็เพียงแค่ผ่านเข้าไปรอรถขบวนรถไฟที่จะว
ิ่งมาถึงสถานีรถไฟเท่านั้นแหละ ถ้ารถไฟมาถึงก็เพียงแค่ก้าวขึ้นรถไฟเท่านั้นแหละ
ซึ่งเป็นการลดเวลาเสียจริง ๆ ไม่ต้องไปนั่งรอเป็นชั่วโมงเหมือนเครื่องบิน จึงลดเวลาการรอคอย โดยท่านสามารถใช้เวลาไปทำอย่างอื่นได้
...เรามาชมน้องนนท์..พาชมงานกันดีกว่า...
รถไฟในประเทศญี่ปุ่นนั้นมีเยอะแยะมาก โดยถ้ามองในแผนที่นั้นจะเหมือนกับถนนในเมืองไทยเลย
ซึ่งทำให้สะดวกกับการเดินทางมาก เพียงแต่ขอให้ดูเส้นทางรู้เรื่องเท่านั้นแหละ ก็คงต้องหัดกันซักพัก ไม่ยากหรอกสำหรับการเรียนรู้
แหละรถไฟหัวกระสุนตั้งแต่เปิดใช้งานมานั้น คลาดเคลื่อนเรื่องเวลาเป้าหมายไม่เกิน 1 นาทีเท่านั้น ..สุดยอดมาก..
แหละสำหรับเรื่องอุบัติเหตุนั้นก็ไม่เคยเกิดขึ้น รถไฟหัวกระสุนของญี่ปุ่นนั้นจะเชื่อมข้อมูลเข้ากับข้อมูลด้าน "่แผ่นดินไหว" ด้วย
โดยถ้าเกิดเหตุแผ่นดินไหวในญี่ปุ่นที่ใดที่ถึงระดับที่กำหนด สัญญา
ณนั้นจะส่งไปหารถไฟหัวกระสุนที่วิ่งทั้งหมด และให้รถไฟชลอความเร็วลงจนหยุดนิ่ง เพื่อความปลอดภัย
...แหละต่อไปนี้เป็นภาพโดยรวมในงานของศูนย์สิริกิติ์ครับ..
ขอโชคดีทุก ๆ ท่าน
จาก...กระดิ่งทอง